คุณภาพชีวิต-สังคม
ตรวจ'ฉี่'หามะเร็งแทนขึ้น 'ขาหยั่ง'

กว่า 1 ปีมานี้ มีงานวิชาการจากหลายสถาบันทั่วโลกที่พยายามศึกษาเรื่องการตรวจหาเชื้อไวรัสก่อโรคมะเร็งปากมดลูกจากปัสสาวะ เพื่อเป็นทางเลือกสาวๆ
ประเทศไทยก็มีโครงการวิจัยดังกล่าวเช่นเดียวกับต่างประเทศ โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติร่วมกับโรงพยาบาลสมิติเวช และศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้วิจัยด้วยการนำปัสสาวะของอาสาสมัครไปตรวจหาเชื้อไวรัสก่อโรคมะเร็ง เปรียบเทียบผลกับการตรวจด้วยวิธีดั้งเดิมหรือแปบสเมียร์ เพื่อดูความแม่นยำและประสิทธิภาพ ก่อนจะพัฒนาไปสู่การใช้เป็นวิธีคัดกรองคนไข้เข้าสู่ขั้นตอนการตรวจแปบสเมียร์นพ.ไพโรจน์ จรรยางค์ดีกุล หัวหน้าศูนย์พยาธิและเอชพีวี โรงพยาบาลสมิติเวช ขยายความว่า 10 ปีที่ผ่านมาอุบัติการณ์ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในไทยลดลงมาก แต่ก็ยังพบผู้ป่วยหน้าใหม่ถึง 6,243 คนต่อปี จากเดิมที่พุ่งแตะหลักหมื่น ส่วนเหตุที่ผู้ป่วยใหม่ลดลงเพราะ หญิงในวัยเสี่ยงมีความกล้าที่จะเข้ารับการตรวจระบบอวัยวะสืบพันธุ์มากขึ้นผู้หญิงทุกคนต้องตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะหญิงที่มีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุยังน้อย มีคู่นอนหลายคน เคยตั้งครรภ์บุตรหลายคน มีประวัติเคยเป็นกามโรค และไม่เคยตรวจมาก่อน ยิ่งควรตรวจคัดกรองมากกว่าใคร เพื่อหาเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในอนาคต คุณหมอกล่าวขณะที่การวิจัยหาไวรัสจากปัสสาวะนั้น ทีมวิจัยตั้งเป้าจะนำปัสสาวะอาสาสมัครหญิงปกติที่ไม่มีเชื้อไวรัสเอชพีวี และหญิงที่มีเชื้อไวรัสเอชพีวีกลุ่มละ 100 คนในเวลา 2 เดือน ศึกษาเปรียบเทียบระหว่างวิธีการใช้น้ำปัสสาวะมาตรวจคัดกรอง และการตรวจด้วยแปบสเมียร์ว่า แม่นยำตรงกันหรือต่างกันอย่างไร ส่วนงานวิจัยในต่างประเทศพบความแม่นยำอยู่ที่ 70-80% "แม้จะเป็นเพียงงานวิจัย ยังไม่ใช่วิธีการตรวจมาตรฐาน และไม่ใช่วิธีที่จะทดแทนการตรวจแปบสเมียร์แบบเดิม แต่หากวิจัยแล้วเสร็จก็จะเป็นประโยชน์อย่างที่สุดกับสตรีไทย โดยเปิดโอกาสให้แพทย์เข้าถึงคนไข้ที่อยู่ในกลุ่มที่เอียงอาย และวัยรุ่นกลุ่มที่รับวัคซีนเอชพีวีไปแล้ว ได้รับโอกาสคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีที่ง่ายและสะดวกขึ้น"ทั้งนี้ กรณีที่พบเชื้อไวรัสเอชพีวีในน้ำปัสสาวะ ผู้ป่วยต้องเข้ารับการตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผลด้วยเทคนิคแปบสเมียร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากวิธีดังกล่าวยังเป็นมาตรฐานที่เชื่อถือได้และได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ในเรื่องการวินิจฉัยที่แม่นยำ"ถ้าตรวจพบเชื้อไวรัสเอชพีวีจากปัสสาวะ ขั้นตอนต่อไป ห้ามอาย แพทย์ก็ต้องเชิญขึ้นขาหยั่ง เพื่อตรวจอย่างละเอียดประเมินการรักษาต่อไป ซึ่งถ้าพบเร็วก็ไม่ต้องเจ็บตัวและค่าใช้จ่ายไม่แพง หรืออาจจะหายเองได้โดยไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าลุกลามเป็นเซลล์มะเร็งก็เรื่องใหญ่ แต่ถ้าทุกคนหมั่นมาตรวจทุกปี โอกาสที่เชื้อไวรัสเอชพีวีจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งก็ลดลง" นพ.ไพโรจน์อธิบายอย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่ได้รับการตรวจช่องคลอดแล้วพบว่ามีเชื้อเอชพีวีในร่างกาย ยังไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรือตื่นตระหนก เพราะ 90% ของคนที่ติดเชื้อเอชพีวี ร่างกายจะสามารถกำจัดเชื้อโรคให้หายเองได้ ไม่ต่างจากการป่วยเป็นไข้หวัด มีเพียง 10% เท่านั้นที่เสี่ยงจะมีเชื้อฝังแน่นและพัฒนาเป็นมะเร็ง ซึ่งก็ใช้เวลานานเป็น 10 ปีอีกเช่นกันกว่าจะแสดงรอยโรคออกมาชัดเจนแม้ร่างกายจะมีเชื้อเอชพีวีมาแล้ว 2-3 ปี ก็ยังรักษาให้หายขาดได้ เพราะกว่าจะพัฒนาเป็นมะเร็งต้องใช้เวลาอีกนาน ขณะที่การวินิจฉัยของแพทย์แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 กลุ่มที่ติดเชื้อแล้วหายได้เอง ขั้นที่ 2 ใช้เวลา 2-3 ปีกว่าจะพัฒนาเป็นขั้นที่ 3 ซึ่งมีการรักษา อาทิ การจี้เย็นด้วยไนโตรเจนเหลวบริเวณที่พบเชื้อไวรัส การปาดเอาเซลล์ที่ผิดปกติหรือที่มีไวรัสออกไป ฉะนั้น หากคัดกรองเป็นประจำทุกปี โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดก่อนที่จะพัฒนาเป็นมะเร็งมีสูงมาก




