นำร่องกุญแจอิเล็กทรอนิกส์คุมเด็กแว้นพ.ย.

นำร่องกุญแจอิเล็กทรอนิกส์คุมเด็กแว้นพ.ย.

รมว.ยธ.พร้อมนำร่องกุญแจอิเล็กทรอนิกส์คุมเด็กแว้นพ.ย.นี้ พร้อมขยายผลใช้แก้ปัญหานักโทษล้นคุกทั่วประเทศทะลุ 270,000 คน

นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม แถลงความคืบหน้าในการนำเครื่องมือควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กับเด็กและเยาวชนในระบบงานคุมประพฤติว่า เบื้องต้นจะเช่าใช้อุปกรณ์จำนวน 200 ชุด จากประเทศเกาหลี Korean GPS Tracking System) ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวมีคุณสมบัติ น้ำหนักไม่เกิน 300 กรัม สามารถส่งข้อมูลแบบ GPRS หรือ GSM และสามารถใช้งานบนเทคโนโลยี GPS ได้กรณีที่อับสัญญาณ มีระบบการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์เมื่อเกิดเหตุกับอุปกรณ์ เช่น แบตเตอรี่เหลือน้อยหรือใกล้หมดเมื่อออกจากพื้นที่ที่กำหนด พื้นที่ควบคุม พื้นที่ห้ามเข้าหรือห้ามออก หรือถูกถอดออกโดยไม่ใช้เครื่อง โดยกลางเดือนพ.ย.นี้ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจะนำมาทดลองใช้กับกลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงสูงจำนวน 200 ราย ที่มีความผิดในพ.ร.บ.จราจร หรือในกลุ่มเด็กแว้น เพื่อให้เด็กสามารถใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและสังคมได้ตามปกติ อีกทั้งยังเป็นการลดภาระการดูแลเด็กในสถานควบคุมด้วย

นายชัยเกษม กล่าวอีกว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ต้องขังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหานักโทษล้นคุก โดยกรมราชทัณฑ์มีข้าราชการประมาณ 11,000 คน ในขณะที่มีจำนวนนักโทษถึง 270,000 บาท และผู้คุม 1 คนต้องดูแลนักโทษ 50 คนทั้งที่ตามมาตรฐานสากลสัดส่วนการดูแลนักโทษจะอยู่ที่ 1:5 เท่านั้น ดังนั้นการใช้เครื่องมือควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (EM) มาใช้จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง

"ความเร่งด่วนจากปัญหานักโทษล้นคุก ทำให้เรือนจำต้องผลักคนเก่าออกจากคุกตามวาระต่างๆ โดยผู้ที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต เฉลี่ยจำคุกจริงเพียง 15 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้คนใหม่เข้าไปรับโทษจำคุก หลักปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้ดูว่าระยะเวลาในการลงโทษเหมาะสมหรือไม่ แต่เป็นการปฏิบัติไปตามความจำเป็น ที่สำคัญด้วยสัดส่วนผู้คุมที่น้อยกว่าผู้ต้องขัง ทำให้ไม่แน่ใจว่านักโทษคุมเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่คุมนักโทษ หลายครั้งเมื่อเกิดปัญหาไม่สามารถบังคับใช้กฎระเบียบได้เต็มที่ แต่ต้องใช้วิธีเจรจาหรืออลุ่มอล่วยกันไป"รมว.ยุติธรรม กล่าว

ขณะที่ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ หลังจากกรมคุมประพฤติและกรมพินิจฯได้ทำการลดลองใช้กับเด็กและเยาวชนเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว กรมราชทัณฑ์จะขยายผลเพื่อนำมาใช้กับผู้ต้องขัง 4 กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้ต้องขังจำคุกที่จะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าจะต้องจำคุก กรณี ผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้าย ไตวายเรื้อรัง มะเร็งระยะสุดท้าย ผู้ต้องขังจำคุกจำเป็นต้องเลี้ยงบิดามารดา สามี ภรรยา บุตร ที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้ และขาดผู้อุปการะ ผู้ต้องขังเจ็บป่วยเรื้อรัง ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และต้องออกไปรับการรักษาภายนอก เช่นฟอกไต หรือฉายรังสีทุกสัปดาห์ และผู้ต้องขังจำคุกที่มีเหตุอันควรได้รับการทุเลาการบังคับ เช่น วิกลจริต เพิ่งคลอดบุตรหรือตั้งครรภ์

พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวด้วยว่า แม้กรมราชทัณฑ์จะมีโรงพยาบาลเพื่อรักษานักโทษ โดยเฉพาะทัณฑสถานโรงพยาราชทัณฑ์ซึ่งสามารถเปิดรับรักษานักโทษได้ถึง 500 เตียง และเปิดจริงได้เพียง 250 เตียงและมีแพทย์ประจำเพียง 20 คนเท่านั้น จากความต้องการแพทย์ประจำทั้งหมด 50 คน จึงทำให้การดูแลนักโทษที่เจ็บป่วยไม่ทั่วถึง สำหรับเรือนจำจังหวัดทั่วประเทศนั้นก็สามารถส่งนักโทษผู้ต้องขังเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดและโรงพยาบาลอำเภอได้ แต่เนื่องจากโรงพยาบาลดัง กล่าวไม่มีห้องพักพิเศษที่ควบคุมนักโทษเฉพาะจึงเกรงจะมีปัญหาเรื่องนักโทษแหกหัก หลบหนีออกไป

"กรณีที่นักโทษป่วยและต้องแอทมิท ตามปกติเรือนจำต้องส่งผู้คุม 2 คนไปดูแลผู้ต้องขังป่วย 2 คน จึงทำให้กำลังเจ้าหน้า ที่ที่มีอยู่ไม่พอ ผมจึงประสานไปยัง น.พ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุขขอให้มีการสร้างห้องพิเศษสำหรับควบคุมนักโทษที่ป่วยในโรงพยาบาลจังหวัดและอำเภอ ซึ่งทางสาธารณสุขไม่มีปัญหา และขณะนี้หลายแห่งได้ตอบรับมาแล้ว"อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าว

พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวอีกว่า ในส่วนของกรมราชทัณฑ์นั้น ขณะนี้ทางองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)คลองไผ่ ได้มาขอให้พื้นที่เรือนจำกลางคลองไผ่ 30 ไร่ เพื่อสร้างโรงพยาบาล ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ได้ให้พื้นที่ไปแล้ว แต่ขอให้มีการสร้างห้องพิเศษสำหรับควบคุมผู้ต้องขังป่วยที่เข้าไปใช้บริการโรงพยาบาลด้วย