‘ปวด’ หาย

‘ปวด’ หาย

ปวดเป็นอาการหรือภาวะที่หลายคนมองเป็นเรื่องเล็กน้อย และเลือกที่จะทน หากเกิดต่อเนื่องและเรื้อรังจะส่งผลรุนแรงถึงขั้นอัมพาตได้

จากสถิติปัญหาสุขภาพของประเทศต่างๆ อาการปวดไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงภาพรวมของเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วย ยกตัวอย่างอังกฤษมีผู้ป่วยจากการปวดเรื้อรังเกือบ 8 ล้านคน หรือราว 15% ของประชากร แต่มีเพียง 2% เท่านั้นที่พบแพทย์เพื่อรักษา ในขณะเดียวกันอาการปวดหลังก็เป็นสาเหตุอันดับ 2 ของการลาหยุดงานหรือไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

เช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา อาการปวดส่งผลต่อมูลค่าการผลิตในประเทศปี 2553 ถึง 9-10 หมื่นล้านบาท จากอาการปวดศีรษะและปวดหลัง

ในส่วนของประเทศไทยนั้น รศ.นพ.ประดิษฐ์ ประทีปะวณิช แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และที่ปรึกษาคลินิกระงับปวด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า อาการปวดเอวและหลังส่วนล่างถือเป็นสาเหตุอันดับ 2 ที่มาพบแพทย์ รองจากอาการหวัด

อาการปวดหลังเกิดได้หลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การปวดกล้ามเนื้อ กระดูกสันหลังเสื่อมหรืออักเสบ เนื้องอก หมอนรองกระดูกเสื่อม กระดูกงอกทับเส้นประสาท ความเครียด วัณโรคกระดูกสันหลัง ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในคนไทย รวมถึงการใช้หลังไม่ถูกสุขลักษณะ หากไม่ได้รับการรักษาและปวดต่อเนื่องกว่า 3 เดือนจะจัดเป็นการปวดเรื้อรัง

วิธีการรักษาขึ้นกับอาการ หากเป็นการปวดหลังแบบเฉียบพลัน ต้องใช้ยาแก้ปวดชนิดต่างๆ แต่หากไม่ได้ผลอาจต้องรับการผ่าตัด แต่หากเป็นการปวดเรื้อรังที่กินเวลานานกว่า 3 เดือน บางรายอาจปวดมานานนับปี ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะกระเพาะอาหาร ตับ ไต ที่ได้รับผลจากยาแก้ปวดจนอาจเกิดกระเพาะอาหารอักเสบ ตับและไตอาจวายได้

“ในกรณีของปวดเรื้อรัง การรักษาด้วยการผ่าตัดอาจไม่ได้ผลดีเสมอไป แต่ควรจะวางแผนการรักษา โดยให้ยารับประทานเท่าที่จำเป็น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และฟื้นฟูสภาพจิตใจ”

นอกจากนี้ ยังต้องมีข้อมูลเรื่องของท่าทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะตำแหน่งที่พบอาการปวดได้บ่อย ไม่ว่าจะเป็น หลัง คอ ศีรษะ เช่น การนั่งในท่าที่สบาย เพื่อที่จะใช้กล้ามเนื้อได้นานโดยไม่เมื่อย และอย่าใช้กล้ามเนื้อต่อเนื่องนานเกินไป เช่น หากทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อผ่านไป 1 ชั่วโมงก็ควรลุกไปห้องน้ำ หรือยืดเส้นยืดสาย ยืดหัวไหล่ บริหารคอ เป็นต้น

รศ.นพ.ประดิษฐ์ แนะนำให้สำรวจและประเมินตนเอง จากประวัติการเกิดอาการปวดว่าเฉียบพลันหรือค่อยๆ เป็นจนเรื้อรัง ศึกษาลักษณะของความปวด เช่น ปวดตลอดเวลา ปวดเป็นพักๆ และสังเกตสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ปวดเพิ่มขึ้น หรือบรรเทาอาการปวดให้ทุเลาหรือหายไป เพื่อที่จะได้แจ้งแพทย์ ทำให้การวินิจฉัยแม่นยำและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“การรักษาที่มีผลดีที่สุดคือ การป้องกันก่อนเกิดอาการปวดหลัง โดยการใช้ร่างกายอย่างถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มสมรรถนะและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ” แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูกล่าว

///////////
8 ท่ายืดกล้ามพิชิตปวด

ในงานมหกรรมสุขภาพ “แฟมิลี่ เฮลท์ แฟร์ 2013" ปีที่ 6 โดยโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ได้แนะ 8 วิธีออกกำลังกายเพื่อแก้ไขอาการปวดหลัง

- ท่าที่ 1 ยืดกล้ามเนื้อโคนขาด้านหลัง ให้นอนหงายงอเข่า 1 ข้าง ยกขาข้างที่เหยียดให้สูงเท่ากับเข่าข้างที่งอโดยให้เข่าตึงตลอดเวลา ยกขึ้นลงช้าๆ 10 ครั้งทำสลับขาอีกข้างหนึ่ง
- ท่าที่ 2 ยืดกล้ามเนื้อสะโพก นอนหงาย เอามือสอดใต้เข่าอีกข้างหนึ่งดึงมาให้ชิดหน้าอกให้มากที่สุดนับ 1-10 ทำสลับข้างไป-มา
- ท่าที่ 3 ยืดกล้ามเนื้อหลังนอนหงายชันเข่า 2 ข้างเอามือสอดใต้เข่าทั้ง 2 ข้างดึงเข้ามาจนชิดหน้าอกนับ 1-10 พัก
- ท่าที่ 4 เพิ่มกำลังกล้ามเนื้อหน้าท้อง นอนหงายชันเข่า 2 ข้างเอามือกอดอกยกศีรษะและสะบักขึ้นเล็กน้อยให้พ้นพื้น ให้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อท้องกำลังเกร็งตัว นับ 1-5 พัก
- ท่าที่ 5 เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านข้างและกล้ามเนื้อหลังส่วนลึก นอนหงายชันเข่ากดหลังแนบกับพื้นใช้มือหนุนศีรษะแล้วยกตัวเอียงซ้ายนับ 1-5 พักแล้วทำซ้ำอีกด้านหนึ่ง
- ท่าที่ 6 ลดความแอ่นของบั้นเอว นอนหงายชันเข่าเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องให้หลังแบนติดพื้นพร้อมกับเกร็งกล้ามเนื้อก้นย้อย โดยการทำท่าขมิบก้นให้ก้นลอยพ้นพื้นนับ 1-10 พัก
- ท่าที่ 7 ยืดกล้ามเนื้อเนื้อสีข้าง นอนหงายงอเข่าข้างหนึ่งใช้ส้นเท้าอีกข้างหนึ่งทับเข่าข้างที่งออยู่กดลงด้านตรงข้ามลงจรดพื้นนับ 1-10 หัวไหล่ 2 ข้างต้องแนบพื้นตลอดเวลาทำสลับข้าง
- ท่าที่ 8 เพิ่มกำลังกล้ามเนื้อหลัง นอนคว่ำหมุนหมอนบริเวณท้องแขนแนบลำตัว แอ่นตัวยกไหล่และลำตัวขึ้นนับ 1-5 พัก ระวังอย่าให้ศีรษะแหงนมากเกินไปจะทำให้ปวดคอ