เปิดใจ'ปวีณา หงสกุล'ขอทำงานแก้ปัญหาสังคม

เปิดใจ'ปวีณา หงสกุล'ขอทำงานแก้ปัญหาสังคม

"ที่ผ่านมาก็ทำงานเพื่อสังคมมาโดยตลอด การมาทำงานเป็น รมว.พม.ช่วยเอื้อให้การทำงานด้านสังคมได้ผลสำเร็จพันเปอร์เซ็นต์เลย"

หลัง "นางปวีณา หงสกุล" ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุล เพื่อเด็กและสตรีมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ได้ไม่นาน ก็ถูกกระแสสื่อวิจารณ์ถึงบทบาทหน้าที่การทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรี พม. กับบทบาทของ "ปวีณา 24 ชั่วโมง" ที่เดินสายแถลงข่าวการช่วยเหลือเหยื่อผู้เสียหาย

จนล่าสุดได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คของตัวเองโดยระบุว่า ไม่ว่าตนจะเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นประธานมูลนิธิ ก็คือคนๆ เดียวกันที่มีหัวใจอยากช่วยเหลือสังคม ไม่เคยเห็นปัญหาของเคสไหนๆ เป็นเรื่องเล็กและการแถลงข่าวก็เพื่อต้องการให้สื่อช่วยกระตุ้นเตือนสังคม พร้อมกันนี้ยังเปิดใจกับ"กรุงเทพธุรกิจ"ถึงทิศทางการทำงานหลังจากนี้

นางปวีณา เล่าว่า ก่อนได้รับตำแหน่ง รมว.พม.ก็ยังไม่รู้ตัว และไม่ได้คาดหวังกับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะตนเองก็ทำงานด้านสังคมมาตลอดอยู่แล้ว ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ได้โทรศัพท์เชิญให้ไปร่วมประชุมด้วย และได้ขอให้เธอเข้ามาช่วยงานในส่วนนี้ ซึ่งก็คิดอยู่พักหนึ่ง เนื่องจากตนเคยบอกไว้ว่าจะไม่ทำงานการเมืองแล้ว เพราะเหนื่อยมาก แต่นายกฯก็ขอร้อง อยากให้มีคนมาช่วยแบ่งเบา ตนจึงรับปากและคิดว่างานที่ทำเพื่อสังคมนั้นก็ทำมาอยู่แล้ว

โดยท่านได้ฝากให้ดำเนินการในเรื่องของศูนย์ช่วยเหลือสังคม หรือศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ 24 ชั่วโมง หรือ OSCC ซึ่งเป็นนโยบาย และเรื่องกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้หญิงได้รับทราบถึงสิทธิของตัวเองในการเข้าถึงเงินกองทุน และห่วงใยว่าเงินกองทุนฯจะได้ไปถึงมือประชาชน ในส่วนนี้ก็ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้นเพื่อให้ผู้หญิงได้รับทราบ

เมื่อมารับตำแหน่งก็รู้อยู่แล้วว่าเราต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้น เพื่อประชาชนเราก็ยินดีทำอยู่แล้ว และต้องไม่ให้งานที่มูลนิธิปวีณาฯเสียด้วย เมื่อเราได้ตั้งศูนย์ OSCC และศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ที่ พม. ก็ได้นำเรื่องร้องทุกข์จากมูลนิธิเข้ามาให้ทางศูนย์ OCSS ช่วยแก้ปัญหาด้วย

"ซึ่งดิฉันตั้งเป็นศูนย์ OSCC ++ เพราะจะต้องรับเรื่องร้องทุกข์ทุกเรื่อง จากเดิมที่เน้น 4 เรื่องคือเรื่องตั้งครรภ์ไม่พร้อม เรื่องค้ามนุษย์ เรื่องความแรงงานในครอบครัว และเรื่องแรงงานเด็ก แต่ตอนนี้เราจับปรับแผนในรับทุกเรื่อง”นางปวีณากล่าว

เธอย้ำว่านโยบายที่เธอจะเร่งทำงานคือต้องเดินหน้าอย่างรับ รุก และรวดเร็ว เพราะปัญหาสังคมขณะนี้เป็นปัญหาใหญ่หลวงรอไม่ได้ การรับคือรับเรื่องราวร้องทุกข์ทั้งหมด หากไม่รับก็ไม่รู้ว่าปัญหาสังคมมีอะไรบ้าง และเดินหน้าทำงานแก้ปัญหาในเชิงรุก และต้องทำงานอย่างรวดเร็ว โดยจะใช้ศูนย์ OSCC ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศในการรับเรื่องราวร้องทุกข์และป้องกันแก้ไขอย่างทันท่วงที โดยจะมีการอบรมเจ้าหน้าที่ พม. และเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องของการให้ความช่วยเหลือประชาชน

นอกจากนี้จะเดินหน้าสนับสนุนกองทุนบทบาทสตรีเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ช่วยให้มีอาชีพมีรายได้แต่จะสนับสนุนให้เยาวชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปมาเป็นสมาชิกกองทุนฯ และสนับสนุนเรื่องของการศึกษา โดยให้ผู้หญิงกู้กองทุนฯมาใช้เรียนต่อได้ เพื่อให้มีโอกาสได้เรียนสูงๆ มีอาชีพที่ดีขึ้น

เธอบอกอีกว่าเมื่อมาเป็น รมว.พม.ต้องกระตุ้นให้ข้าราชการทุกพื้นที่มีความตื่นตัวในการทำงาน เพราะ พม.มีพัฒนาสังคมจังหวัดทั่วประเทศ โดยจะสร้างห้องคอนเฟอเรนซ์ภายในกระทรวงเพื่อติดต่อสื่อสารอย่างรวดเร็ว ในการประชุมกับ พมจ.ทุกพื้นที่ เพื่อติดตามปัญหาอย่างรวดเร็ว และให้ทุกจังหวัดส่งรายงานการทำงานและปัญหาต่างๆ ให้ทุกสัปดาห์ เพราะตนต้องการทราบว่าแต่ละพื้นที่มีปัญหาอะไรและจะได้ร่วมแก้ไขอย่างเร่งด้วย

ขณะเดียวกันนโยบายเร่งด่วนยังให้ความสำคัญกับคนพิการ โดยจะเร่งสร้างและส่งเสริมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ และส่งเสริมการประกอบอาชีพ ซึ่งตนให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากเป็นพิเศษโดยยึดถือมาตลอดว่าหากประเทศใดละเลยปัญหาคนพิการ ประเทศนั้นจะไม่สามารถพัฒนาได้

"ในส่วนของผู้สูงอายุ เป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ พม.จัดทำโครงการบัตรห่วงใยผู้สูงอายุ หรือ Senior Care Card โดยให้ผู้สูงอายุได้รับสิทธิประโยชน์จากบัตรนี้อย่างเต็มที่ เช่น การเข้ารับการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องเข้าคิว การได้รับความสะดวกในการคมนาคม และได้รับสิทธิพิเศษส่วนลดตามร้านค้าต่างๆ รวมถึงโครงการผู้สูงวัยคลังปัญญาสู่สังคม เพื่อมุ่งเสริมผู้สูงอายุให้ได้รับการอบรมเป็นผู้ทรงคุณค่า เฝ้าระวังแก้ไขปัญหาสังคม และให้ประโยชน์กับสังคมได้"นางปวีณากล่าว

เธอบอกอีกว่า ปัญหาเด็กและเยาวชนเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นกลุ่มที่พบว่ามีปัญหามากที่สุด เธอจึงจัดทำโครงการจู่โจมเซฟตี้ ทีน โซน (Safety teen zone) เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและเยาวชน โดยจะร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อาจจะเชิญทางกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ออกตรวจคุมเข้มในสถานบันเทิง ร้านเกม โต๊ะสนุ๊ก และพื้นที่ล่อแหลม เพื่อไม่ให้เกิดแหล่งมั่วสุมของเด็กและเยาวชน โดยหากพบว่ามีความล่อแหลม หรือพบว่าร้านต่างๆ เหล่านั้นเปิดอย่างไม่เหมาะสม หรือมีการจัดร้านมืดเกินไปหรือแออัดเกินไป จะต้องมีคำชี้แนะตักเตือน แนะนำให้ทางร้านนั้นๆ ปรับปรุง ซึ่งรูปแบบการทำงานลักษณะนี้ที่ประเทศอังกฤษทำสำเร็จแล้ว

"การทำงานต่อจากนี้ก็คงจะเร่งลงพื้นที่ไปดูปัญหาจากทุกๆ ส่วน เช่น ศูนย์เด็กเล็ก สถานสงเคราะห์ต่างๆ ไปติดตามดูโครงการต่างๆ โดยเฉพาะการเคหะแห่งชาติ(กคช.) ซึ่งค่อนข้างมีปัญหาในเรื่องของการบริหารจัดการภายในอยู่มาก ก็ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์มามาก ส่วนนี้ก็มีนโยบายว่าการเคหะต้องช่วยเหลือคนจนอย่างแท้จริง ต้องให้บ้านกับคนจนอย่างแท้จริง ต้องมีวิธีการอย่างไรถึงจะทำให้ประชาชนคนจนเข้าถึงโอกาสในส่วนนี้" นางปวีณากล่าว

ส่วนการทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรี พม. เธอบอกว่าที่ผ่านมาก็ทำงานเพื่อสังคมมาโดยตลอด การมาทำงานเป็น รมว.พม.ช่วยเอื้อให้การทำงานด้านสังคมได้ผลสำเร็จพันเปอร์เซ็นต์เลย เนื่องจากมูลนิธิปวีณาฯก็มีเครือข่ายคนทำงานด้านสังคมอยู่มากก็จะได้มาช่วยกันทำงาน เพราะทุกคนมีความรู้ความสามารถโดยเฉพาะเอ็นจีโอที่ทำงานช่วยประเทศชาติ เธอก็ยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็น เพราะลำพังจะให้ พม.ทำงานอยู่ฝ่ายเดียวคงไม่ได้ เพราะทุกคนที่ทำงานเพื่อสังคม ล้วนเป็นคลังปัญญาที่จะช่วยกันแก้ไขและป้องกันปัญหาสังคมให้สำเร็จได้

"การตั้งเป้าการทำงานต่อจากนี้คิดว่าอีก 2 สัปดาห์จะประเมินผลงานตามนโยบายต่างๆ จะดำเนินการอย่างไร จะไปได้แค่ไหนก็คงต้องร่วมพูดคุยกับผู้บริหารของ พม.ด้วยว่าแต่ละส่วนมีอัตรากำลังทำงานได้แค่ไหน เพราะส่วนตัวเองได้มอบนโยบาย เจ้าหน้าที่ต้องรับไปปฏิบัติ แต่ในส่วนตัวก็ตั้งเป้าเป็น 3 ระยะ คือระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยในระยะสั้น 3 เดือน ส่วนระยะกลางก็ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ในตำแหน่งนี้นานหรือเปล่าแต่ก็จะเร่งให้เร็วที่สุดทุกงานให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ให้สมกับความไว้วางใจในตำแหน่งนี้ ส่วนในระยะยาวทุกปัญหาต้องแก้ไขให้ได้"นางปวีณากล่าว