สุวรรณา เอี่ยมพิกุล โลกหมุนด้วยล้อความคิด

จักรยานอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่มันตอบทุกคำถามในใจของ สุวรรณา เอี่ยมพิกุล ว่าวิถีสองล้อเปลี่ยนทั้งกายและวิธีคิดของเธอ
จักรยานอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่มันตอบทุกคำถามในใจของ สุวรรณา เอี่ยมพิกุล ผู้บริหารยาดมเป๊ปเปอร์มินต์ ฟิลด์ ว่าวิถีสองล้อเปลี่ยนทั้งกายและวิธีคิดของเธอได้ จักรยานจึงไม่ใช่แค่พาหนะ แต่มันคือเครื่องมือสำรวจหัวใจคน
เมื่อเข้าสู่ภาวะน้ำมันแพง รถยนต์ส่วนบุคคลเต็มท้องถนน สัญญาณจราจรสีเขียวไร้ความหมาย คนจึงหาทางออกที่หลากหลาย บ้างใช้รถสาธารณะมากขึ้น แต่อีกทางเลือกหนึ่งแสนคลาสสิกและเริ่มแพร่หลายจนกลายเป็นกระแสนิยม ก็คือ จักรยาน
การปั่นจักรยานนับเป็นวิถีใหม่ของคนเมืองที่พลิกโฉมหน้าของกรุงเทพมหานครอย่างสิ้นเชิง จากแค่ปั่นรอบๆหมู่บ้าน ในซอย ค่อยๆอาจหาญมาฉวัดเฉวียนบนถนนใหญ่ จากกลุ่มคนเล็กๆที่ชื่นชอบขี่จักรยาน ขยายตัวแทรกซึมเข้าสู่หัวใจทุกกลุ่มคน ไม่เว้นแม้แต่นักธุรกิจ ผู้บริหารระดับสูง
สุวรรณา เอี่ยมพิกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เบอร์แทรมเคมิคอล (1982) จำกัด มองการปั่นจักรยานมากกว่าแค่วิธีแก้ปัญหาจราจรคับคั่ง เธอยังให้นิยามมันเป็นกีฬา เป็นสื่อที่ใช้สำรวจตัวตนและมองคนรอบๆตัว รวมทั้งเป็นอุปกรณ์เชื่อมความสัมพันธ์ของคนทั้งโลกเลยทีเดียว
เสน่ห์สองล้อ
ณา-สุวรรณา ขยายความจักรยานในอีกมุมมอง ว่า หากจำกัดความการปั่นจักรยานเป็นกีฬา หรือการออกกำลังกาย มันทำให้เราได้ฝึกวิถีแห่งนักกีฬาอย่างแยบยล เมื่อเราเป็นนักกีฬาเราจะมีศักดิ์ศรีของนักกีฬาได้ฉันใด นั่นแปลว่าจักรยานก็สามารถฝึกให้เราเป็นมืออาชีพในการทำงาน (Professional) ได้ฉันนั้น
"เราเป็นนักกีฬาที่เป็นนักบริหาร ไม่ใช่นักบริหารที่เล่นกีฬา บอกกฎกติกามา อันไหนทำได้ ไม่ได้ เล่นอย่างไรให้ได้แต้ม จึงชอบทำตามกฎกติกา และไม่ชอบคนที่ไม่เคารพกฎกติกา ดิฉันชอบคำว่าน้ำใจนักกีฬา (Spirit of Sport) มันไม่สนุกหรอกนะที่เราชนะหรือแพ้อยู่คนเดียว มันต้องแชร์กัน ขณะเดียวกันเราก็ต้องเอนจอยกับสิ่งที่เราทำด้วย ไม่ใช่เล่นเพื่อสังคม การเป็นนักอะไรสักอย่างมันคือทักษะความสามารถ มันคือศักดิ์ศรีที่เราต้องรักษาและส่งต่อความเป็นมืออาชีพนี้ออกไปสู่คนอื่นให้ได้"
และถ้าชี้ว่ามันเป็นกีฬา ส่วนตัวแล้ว เธอชอบเล่นกีฬาแทบทุกประเภท นักปั่นสาวเล่าว่าพอมีลูกก็ทำให้มีเวลาเล่นกีฬาได้น้อยลง เทียบกับชีวิตวัยเด็กและวัยสาวที่สนุกกับปิงปอง เทนนิส บาสเกตบอล ซึ่งกิจกรรมทั้งหลายเหล่านั้นจำต้องอาศัยเพื่อนร่วมแก๊งส์ แต่เมื่อช่วงชีวิตครอบครัว เพื่อนๆหลายคนต่างก็มีภาระหน้าที่กัน เธอจึงต้องเลือกมาเล่นกีฬาคนเดียว อย่าง เล่นกอล์ฟ และว่ายน้ำ
และถึงแม้จะปลีกเวลามาเล่นกอล์ฟบ้าง ก็รู้สึกเหมือนทิ้งลูกไปทั้งวัน ก็เลยเลิกเล่นเพราะรู้สึกผิด แต่เมื่อลูกเริ่มโต กิจกรรมเหล่านั้นก็กลับมาแต่เปลี่ยนผู้เล่นจากเพื่อนพ้อง เป็นลูกสาวทั้งสองคนแทน แต่พอลูกๆเริ่มโต ผนวกกับกลุ่มเพื่อนก๊วนเดิมเริ่มปลีกเวลาจากภารกิจมาได้บ้างแล้ว จึงได้กลับมาเจอกันใหม่
"จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งอยู่ในสมาคมจักรยาน เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เขาบอกว่าจะมีงาน Moving Planet เราก็เตรียมพร้อม เริ่มคิดก่อนว่าจะหาจักรยานแบบไหน ก็มาลงเอยที่จักรยานพับได้ เพราะคิดว่าฟังก์ชั่นมันเยอะดี แล้วเราก็ขี่ไปพร้อมๆกับหลายๆคนตามถนนหนทางที่รถวิ่ง แวบแรกเลยรู้สึกดี ดีมากๆ ที่ได้ขี่บนถนนที่เราเคยผ่านเมื่อสมัยที่เราไปเรียน ใช้ชีวิตวัยเด็ก มองไปในสถานที่ต่างๆ ถามว่ามันร้อนไหม มันร้อนเหมือนตอนเราเล่นกีฬา แต่ครั้งนี้อยู่บนอานจักรยาน ลมปะทะหน้า มันก็เย็นขึ้นมาเอง"
เธอเผยถึงการเริ่มต้นใช้ชีวิตบนหลังอานจักรยานว่า จริงๆแล้วอุปกรณ์กีฬาและยานพาหนะนี้พบหาได้ง่าย และราคาไม่แพง หาซื้อได้ตามกำลังที่แต่ละคนมี แต่มีข้อแนะนำว่าควรขี่จักรยานที่ใช้วัสดุดีๆที่ไม่เป็นสนิม วัสดุทนทาน ไม่สึกหรอง่าย ใช้ได้เป็นร้อยปี และหากต้องการขี่เพื่อสันทนาการ จำต้องหาจักรยานที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานได้มากขึ้น เช่นขึ้นเขา ขึ้นสะพาน และมีความปลอดภัยสูง นอกจากนั้นจักรยานก็เหมือนกับเสื้อสั่้งตัด ต้องวัดตัวกันเลย ระดับอานและตัวจักรยานต้องพอดีตัวแต่ละคน และที่สำคัญคือต้องเบา
"ต้องยอมรับว่า เรามาจากเจเนอเรชั่นที่หากเสียจะส่งซ่อม แต่ตอนนี้เรามาสู่ยุคเสียแล้วทิ้ง เพราะซ่อมแพงกว่าซื้อใหม่ คนจะเอาความสบายส่วนตัวเข้าว่า จึงอยากเอาเจ้าจักรยานที่ดีเป็นตัวแทนรณรงค์ว่า ทุกวันนี้ขยะมันก็ล้นโลกแล้ว หากจะเลือกจักรยานให้ดูฟังก์ชั่นมันก่อนว่าเป็นอย่างไร มันต้องอยู่กับเราไปได้นานๆ อีกทั้งการซื้อจักรยานที่มีคุณภาพสูง ยังเห็นผลลัพธ์ที่คุ้มค่า ทั้งตอนนี้จักรยานที่เหมาะกับการสันทนาการก็เปลี่ยนมาใช้ของคุณภาพเยี่ยมมากขึ้นด้วย จำได้ว่าพอเริ่มติดจักรยาน เราก็ตั้งทีม เป๊ปเปอร์มินต์ฟิลด์ ไบค์ ไปปั่นที่สวนผึ้ง ราชบุรี ได้ลิ้มรสจักรยานจริงๆเลย เพราะต้องขึ้นเขา ไต่ระดับ แค่ร่างกายฟิตอย่างเดียวไม่พอ มันยังต้องพึ่งศักยภาพของเจ้าสองล้อด้วย มันถึงจะไปยังจุดหมายได้"
นอกจากจะเสพความสุขจากการถีบจักรยานเพื่อสุขภาพ และสนุกกับสังคมคนรักสองล้อแล้ว สุวรรณาบอกว่า หากไม่ขี่มัน ปล่อยให้มันตั้งอยู่นิ่งๆเฉยๆ เสน่ห์ของจักรยานอยู่ที่ไม่ว่าจะยุคใด จักรยานไม่มีการเปลี่ยนลุคเลย มันมีความเป็นอมตะ คลาสสิก ต้องชมเชยคนที่คิดมันขึ้นมาเป็นคนแรก การออกแบบของมันไม่ขวางหูขวางตา ไม่ว่าจะสีอะไรก็ไม่ขัดแย้งกับธรรมชาติ ยิ่งถ้าเจอกับคนรักธรรมชาติยิ่งไปด้วยกันเสมือนคู่หู เวลามันพาเราไปไหนมาไหน เรากับจักรยานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนคนที่ชอบม้าก็จะเป็นอย่างนั้น
"แม้มันจะมีแค่ 2 ล้อแต่พลิ้วมาก ไปไหนต่อไหนได้ทันที ไม่ต้องพึ่งใครหรืออะไร ไม่ต้องใช้น้ำมันเหมือนรถยนต์ มันคอนโทรลได้เลย จักรยานพาไปในที่รถยนต์ไปไม่ได้ เหมือนเวลาเราเล่นสกี เราต้องขึ้นกระเช้า วิวของคนที่นั่งเพื่อไปเล่นกับคนที่ยืนมองอยู่ด้านล่าง เห็นยอดต้นไม้ บึงสระ คนตกปลา มันไม่เหมือนกัน อีกอย่างถ้าเดินขึ้นจะเหนื่อยเกินไป"
เธอเสริมว่าเสน่ห์ของมันไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอกอย่างเดียว แต่เมื่อมันเคลื่อนตัว ความงามก็ปรากฎชัดมากขึ้นเป็นทวีคูณ จักรยานทำให้เราเห็นคนรอบข้าง ใช้ชีวิตช้าลง และเห็นโลกกว้างขึ้น เห็นคนข้างทางได้ชัดเจนมากขึ้น ช่วยลดอายุลงมาให้ใกล้กัน ลดช่องว่างในสังคม เห็นกันและกันมากขึ้น เห็นปัญหาของเขาชัดขึ้น เข้าใจมากขึ้น ยากดีมีจนใช้ได้หมดทุกคน
"มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนความดีของจักรยาน โซ่หลุดแล้วเจอรถมอเตอร์ไซค์ มาช่วยซ่อมรถจักรยานให้ ได้พูดคุยกันถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนรู้จักกันมาก่อน ลองนึกดูว่าถ้าเป็นตอนที่เราขับรถยนต์ มีใครมาใกล้เราขนาดนี้เราต้องคิดแล้วว่าจะมาปองร้ายหรือเปล่าแล้ว แต่สำหรับจักรยานมันไม่ใช่ มันทำให้คนใกล้กันมากขึ้น เป็นเพื่อนกันได้ เห็นความเป็นคนของกันและกัน ไม่แบ่งแยกว่า ไอ้เด็กแว๊น หรือไอ้ไฮโซขับรถเก๋ง (หัวเราะ) หรือตอนที่จุดเทียนชัยถวายพระพร ได้ขี่จักรยานไปรอบเกาะรัตนโกสินทร์ มันทำให้เราดื่มด่ำกับความสุขที่เกิดเป็นคนพสกนิกรของพระองค์"
ปั่น เปลี่ยนสังคม
เมื่อเธอเริ่มคลั่งใคล้ใหลหลงในสองล้อ เธอก็พยายามสนับสนุนให้คนรอบข้างหันมาเป็นคุณงามความดีของจักรยานบ้าง จึงรณรงค์ใช้จักรยานที่บริษัท เริ่มจากลูกน้องก่อน สุวรรณาเสนอนโยบายให้พนักงานผ่อนซื้อจักรยาน เธอมองในเรื่องการใช้งานจริงมากกว่าแค่แฟชั่นตามกระแส
"ดิฉันเชื่อว่าทุกคนไม่มีใครอยากเป็นหนี้ ทุกคนอยากมี Clean Record เป็นหนี้ก็อยากรีบใช้หนี้ เราก็ตั้งสมมติฐานว่า อยากมีแต่ไม่มี ไม่ใช่คิดว่ามันต้องไม่ใช้หนี้เราแน่ๆ จะคิดอีกแบบสำคัญกว่า เราก็อยากให้เขามีจักรยานดีๆไว้ใช้ ตามกำลังของเขาที่พอจะจ่ายได้"
พอเราตัดปัญหาจุดเริ่มต้นได้แล้ว เมื่อเขามี เขาก็ขี่ก็ใช้ แล้วสิ่งที่ดีคือ พนักงานมีส่วนเข้ามาจอยกิจกรรมต่างๆร่วมกัน บางที่ก่อนเราจะไปก็ต้องใช้เวลาในการซ้อม มีเวลามาช่วยกัน ได้ใช้เวลาร่วมกัน ได้ทีมเวิร์กไปใช้ในการทำงานโดยไม่รู้ตัว บางคนไม่เคยคุยกันเลยที่ทำงาน แต่ไปรู้จักนอกเวลาทำงาน ขณะเดียวกันก็พวกเขาก็มีโอกาสได้รู้จักฝ่ายบริหาร รู้จักตัวตนของเธอ ไม่กลัวที่จะออกความเห็น ซึ่งก็ตรงกับความเชื่อที่ว่าเราต้องไม่ใส่หน้ากาก ต้องยอมรับตัวตนของกันและกันนั้นสำคัญที่สุด
"สิ่งที่เราได้จากการผลักดันให้คนอื่นปั่นจักรยานเหมือนเราคือ แง่คิดใหม่ๆ เราเป็นแค่ผู้ดูก็ได้ ไม่ต้องไปลงมือจัดการอะไรทุกอย่าง เพราะเมื่อก่อนเป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว เราก็ได้เห็นตัวตนของเราจากการขี่จักรยาน พอมันทำให้ชีวิตเราช้าลง ได้สำรวจตัวเอง มองคนรอบข้างอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็ทำให้เป็นคนฟังลูกน้องมากขึ้น สังคมจักรยาน ทำให้ได้เรื่องบุคลิกภาพและการแสดงออกใช้ได้กับการทำงาน มันก็ทำให้คิดงานได้มากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ มีสมาธิดีกว่า ทำงานดีกว่า"
แถมยังทำให้ผู้ขี่จักรยานมีสุขภาพดี การหายใจดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ไม่เป็นหวัดง่าย ไม่อ่อนเพลียง่าย ส่วนในแง่อารมณ์ การขี่จักรยานฝึกให้เราเป็นคนมีเป้าหมาย จะมีจุดมุ่งหมาย จิตใจเข้มแข็งขึ้น ทำให้กล้าและมีความเชื่อมั่นเป็นอัตโนมัติ ทั้งยังมีคนบอกว่าหน้าของผู้บริหารสาวนักปั่นคนนี้ เด็กกว่าสมัยสาวๆอีก แน่ล่ะเพราะว่ามันคือการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง แต่อีกด้าน คือ แง่คิดที่ได้รับ กับความรู้สึกโปร่งสบาย ทำให้ไม่ให้เครียด อารมณ์ดี เชื่อเถอะว่าคนเล่นกีฬามักอารมณ์ดี
เมื่อเห็นข้อดีอย่างนี้แล้ว หลายคนก็ยังสงสัยว่าทำไมคนเมืองอีกหลายล้านคนยังไม่อยากเปลี่ยนมาอยู่ยนหลังอานบ้าง สุวรรณา ให้ความเห็นว่าหลายส่วนพยายามจัดการเปลี่ยนแปลง แต่มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลด้วย บางคนไม่กล้า และกลัว
ดังนั้น ความพยายามกระตุ้นจึงต้องทำให้จักรยานเป็นจุดเชื่อมต่อของสังคม เป็นจุดเริ่มต้น มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใส่ความเป็นมิตรกับการขี่จักรยาน ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามผลักดันให้ทุกคนเคารพกฎหมาย มีทางจักรยานที่เป็นทางวิ่งของจักรยานจริงๆ แม้ตอนนี้ผลสำเร็จอาจดูห่างไกล เพราะกำลังใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง คือค่อยๆตะล่อมคนให้มาใช้จักรยาน แต่อีกไม่นานเมื่อมีเด็กรุ่นใหม่เข้ามาผลัดใบ ควบคู่ไปกับการสร้างชุมชนนักปั่น (Community)เพราะสังคมกรุงเทพต้องอาศัยอุปาทานหมู่ ต้องทำให้สัมผัสได้เอง แล้วไม่นานวิถีจักรยานในเมืองใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินจริง
"เรายังขาดคนสนับสนุน ขาดการกระตุ้น เราจึงต้องใส่ข้อดีของจักรยานให้มากว่า เวลาขี่จักรยานไม่มีสี จักรยานไม่บอกศักดิ์ศรี แต่จะอวดกันว่าปั่นได้กี่กิโลเมตรแล้ว โชว์เหนือกันไป เราทุกคนเหมือนกัน เท่ากัน เวลาขี่จักรยานอารมณ์ดีจะใหญ่กว่าความคิดด้านลบ หากเรารักกรุงเทพ รักประเทศไทย เราก็ควรทำบ้านของเราให้น่าอยู่ หันอยู่กับธรรมชาติมากกว่า มีน้ำใจใจดี เกื้อกูลกัน ไม่ใช่ตัวใครตัวมัน เห็นทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกับเรา เริ่มจากกิจกรรมง่ายๆ มาปั่นจักรยานกันเถอะ"







