เลี้ยงลูกสไตล์เถ้าแก่

บางคนอ้างเรื่องงาน ไม่มีเวลาให้ลูก แต่ 'สมศักดิ์ จิตติพลังศรี' เจ้าของซัยโจเด็นกิ กลับให้ความสำคัญกับการมีเวลาอยู่ใกล้ชิดลูกมากที่สุด
สมศักดิ์ จิตติพลังศรี เจ้าของเครื่องปรับอากาศซัยโจเด็นกิไม่ได้สอนให้ลูกมีทักษะในการเป็นเถ้าแก่ หากแต่สอนให้พวกเขามีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ของตัวเอง ด้วยคำนึงถึงความเป็นจริงของโลกในยุคนี้ สมศักดิ์ จึงไม่ได้สอนเฉพาะเรื่องทฤษฏีที่ถือเป็นมาตรฐานของระบบการศึกษาให้แก่ลูกเขาเท่านั้น แต่ยังได้สอนให้ ลูกฝึกทักษะด้านการเรียนรู้ชีวิตและช่วยเหลือตนเอง ด้วยการจัดแฟมิลี่ มิตติ้งขึ้นมา
“ข้อด้อยของระบบการศึกษาไทยก็คือว่า เราพยายามสอนให้เด็กว่ายน้ำ แล้วพวกเขาก็สอบผ่าน แต่พอเขาได้ไปเจอกับแม่น้ำจริง เขากลับว่ายน้ำไม่เป็น เมื่อโดดลงน้ำก็ต้องจมน้ำตาย”
เทคนิกการเลี้ยงลูกของเขา คือ ต้องใกล้ชิดลูก โดยเฉพาะในแง่ความคิด ซึ่งเขาและภรรยา มีข้อตกลงร่วมกันว่า เมื่อลูกมีอายุได้ 6 ขวบจะมีแฟมิลี่ มิตติ้งทุกสัปดาห์ จะเอาข่าวที่เกิดขึ้นในหนังสือพิมพ์ เอาปัญหาในการทำงานที่เจอมานั่งคุยกันกับลูก แทนที่จะให้ลูกอ่านหนังสือ หรือดูโทรทัศน์
“จุดประสงค์เพื่อ ฝึกให้ เด็กๆ มีวิจารณญาณ และหล่อหล่อมความคิดในการแก้ปัญหาไปเรื่อยทุกสัปดาห์ และคุยกันระหว่างรับประทานอาหารด้วยกันทุกวัน ”
นอกจากนั้นในแต่ละสัปดาห์จะต้องมีวันหนึ่งที่พาพวกเขาออกไปช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส เช่น เด็กกำพร้า เด็กปํญญาอ่อน ขอทานตามข้างถนนเพื่อให้พวกเขาได้ซึมซับความเป็นจริงของสังคมและมนุษย์ ว่า สิ่งเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่ใช่กับตัวคนอื่น แต่กับตัวเขาก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ถ้าเขาใช้ชีวิตประมาทถือเป็น “วัคซีน”ทางจิตใจที่สมศักดิ์และภรรยาใช้กับลูกทั้ง3คนคือ ธันพรย์(ปุ๊) ลูกสาวคนโต ธันยวัฒน์(เป้)และธนพร (ปิ่น)
“เราต้องการให้พวกเขารู้จักใช้ชีวิตติดดิน จะได้ไม่ประมาทในการชีวิต ผมไม่ต้องห่วงเรื่องเหล้ายา การพนัน การใช้จ่ายสุรุสุร่ายเที่ยว เตร่ เพราะเขาเห็นสิ่งที่น่ากลัวเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก เขาย่อมไม่อยากเห็นอยากเป็นแบบนั้น”
นี่คือวัคซีนสำหรับเด็กๆ แทนที่จะพาเขาไปเที่ยวต่างประเทศ ดูของสวยงามตามห้างสรรพสินค้าหรูหรา เพราะสิ่งเหล่าานั้น อาจเป็นต้นเหตุ ทำให้เขาคิดว่า ชีวิตมันง่าย ซึ่งผิดจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
สมศักดิ์ มองว่า ความรู้เป็นสากลไม่มีตัวตนที่ใครจะครอบครองเป็นเจ้าของได้ นอกจากคุณใฝ่รู้เอง ฉะนั้นใบปริญญา สำหรับเขาจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะสิ่งสำคัญคือความรู้ที่เกิดจากความเข้าใจในสิ่งที่เรียน
“คนไทยไม่รู้ฝึกที่คิดค้นคว้า ก่อนเข้าห้องเรียน ทำให้การเข้าห้องเรียน จึงสูญเปล่า เพราะไม่ได้เตรียมความพร้อมที่จะไปหาความรู้ใหม่จากอาจารย์ หรือเพื่อนร่วมห้อง”
ลูกเขา จึงไม่มีใครเรียนพิเศษ ตั้งแต่เด็กจนโต ใช้วิธีอ่านตำราก่อนเข้าเรียนเป็นการเรียนเพื่อวิเคราะห์ มากกว่าที่เรียนตามตำรา หรือว่าตามที่อาจารย์สอนแม้กระทั้งช่วงสอบโทเฟล เรียนต่อต่างประเทศ ใช้วิธีส่งหนังสือจากต่างประเทศมาอ่านแล้วไปสอบ แทนที่จะเสียค่าติวหลายหมื่นบาท
ผลลัพธ์จากการเลี้ยงดูลูกอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ลูกทั้ง 3 คน ประสบความสำเร็จในการเรียนและใช้ชีวิตเพราะใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท คนโตจบนิติศาสตร์แล้วมาช่วยงานการตลาดที่บริษัท ส่วนลูกชายคนจบวิศวะ ลาดกระบัง และลูกสาวคนเล็กเรียนวิศวะด้านพันธุกรรมกำลังศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์แบนา-แชมเปญจน์ (University of Illinois at Urbana-Champaign : UIUC) เป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาลที่มีชื่อเสียงทางด้าน วิศวกรรมศาสตร์
เมื่อถามถึงความคาดหวังในตัวลูกๆ เถ้าแก่ใหญ่ บอกว่า อยากให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพ และทำในสิ่งที่รัก ให้เกิดประโยชน์ทั้งกับตนเองและประเทศชาติได้ โดยไม่ต้องเป็นนักการเมือง







