รู้ทันรับมือ เมื่อโรคข้อเสื่อมถามหา

ข้อเสื่อม คือโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนในข้อต่อต่างๆ อันนำไปสู่อาการปวดขัดในข้อ
บางครั้งอาจมีเสียงดังขณะที่เคลื่อนไหว ถ้าเป็นมากอาจมีอาการบวมแดงร้อน โดยสาเหตุที่จะทำให้เกิดอาการเหล่านี้คือ การเปลี่ยนแปลงของกระดูกอ่อนที่คลุมผิวข้อไว้จะนิ่มกว่าปกติ มีการแตกเป็นร่อง ทำให้ความสามารถในการยืดหยุ่นและคลุมปลายประสาทเสียไป
ปัจจัยที่นำไปสู่การเกิดโรคข้อเสื่อมคือ อายุและเพศ อะไรที่ใช้มานานก็ย่อมเสื่อมสภาพลงเป็นธรรมดา ข้อก็เช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้สูงอายุจะเป็นโรคข้อเสื่อมมากกว่าคนวัยหนุ่มสาว ซึ่งเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันข้อเสื่อมก็มักจะเกิดขึ้นกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เพราะเพศหญิงมีความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อน้อยกว่าเพศชาย ทำให้มีแรงกระแทกผ่านข้อมากกว่าในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน
การใช้ข้อผิดวิธี ผู้มีอาชีพใช้ข้อมากๆ เช่น คนงานขุดเจาะถนนที่ใช้สว่านไฟฟ้ากระแทกขึ้นลง การเดินขึ้นลงบันไดบ่อยๆ หรือการนั่งยองๆ นั่งคุกเข่า นั่งพับเพียบ หรือขัดสมาธิ เป็นเวลานาน เหล่านี้ล้วนนำไปสู่โรคข้อเสื่อมได้
การได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อต่อ กระดูกหัก ข้อเคลื่อนหลุด หรือการบาดเจ็บอันมีผลต่อผิวกระดูกอ่อนของข้อซ้ำๆ และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
การอักเสบของข้อที่นานและรุนแรง เช่น โรครูมาตอยด์ โรคเก๊าต์ ทำให้เกิดการอักเสบในข้อ และทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อ
ความอ้วน น้ำหนักตัวที่มากเกินไป ทำให้ข้อต้องรับน้ำหนักมากขึ้นกว่าปกติตลอดเวลาที่ใช้งาน โดยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม จะทำให้มีแรงผ่านข้อเพิ่มขึ้นถึง 4-7 กิโลกรัม
แม้ปัจจัยเรื่องอายุและเพศจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ปัจจัยอื่นๆ นั้นสามารถเลี่ยงได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ก็จะช่วยชะลอหรือช่วยให้ห่างไกลจากโรคข้อเสื่อมได้
ควรเลือกผ่าตัด “ข้อเข่า” แบบไหนดี
เทคนิคการผ่าตัด “ข้อเข่าเสื่อม” ที่นิยมใช้มี 4 เทคนิคด้วยกันคือ
1. การส่องกล้องล้าง (Arthroscopic debridement) แพทย์จะพิจารณาใช้ในรายที่การเสื่อมของข้อเข่ายังไม่มาก ที่สำคัญคือ ขาของผู้ป่วยต้องยังไม่โก่ง หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเข่าล็อค เวลางอเข่าแล้วสึกติดขัดมาก หรือสงสัยว่าหมอนรองกระดูกแตก เป็นต้น
2. การผ่าตัดเปลี่ยนแนวกระดูก (Osteotomy) จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเข่าโก่งนิดๆ ซึ่งแพทย์จะทำการผ่าตัดและปรับให้กระดูกเอียงกลับมาในทิศทางตรงกันข้าม เพื่อลดแรงผ่านข้อด้านที่มีการสึกมากๆ และใส่เหล็กดามเข้าไป เหมาะกับผู้ป่วยที่อายุน้อยและเข่ายังเสื่อมไม่มาก
ที่สำคัญคือ เข่าต้องเสื่อมเพียงด้านเดียว อีกด้านหนึ่งต้องยังดีอยู่ ถ้าเข่าเสื่อมทั้ง 2 ด้าน หรือลูกสะบ้าเสื่อมมากๆ จะไม่สามารถผ่าตัดด้วยวิธีนี้ได้ ข้อเสียของการผ่าตัดด้วยวิธีนี้คือ ผู้ป่วยต้องใส่เฝือก หรือว่าอาจจะให้ลงน้ำหนักได้ช้า คือ ต้องรอ 1-2 เดือน ถึงจะให้ลงน้ำหนักได้เต็มที่ ส่วนข้อดีคือ ยังไม่ต้องใส่ข้อเทียมลงไป ยังเก็บกระดูกของคนไข้เอาไว้ได้อยู่
3. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเสี้ยวเดียว (Unicompartmental knee replacement) ซึ่งมักจะเป็นการเปลี่ยนด้านในของข้อเข่า เหมาะกับผู้ป่วยที่เข่ายังโก่งไม่มาก และอีกด้านหนึ่งของเข่ายังดีและลูกสะบ้าก็ยังไม่เสื่อมมาก ข้อดีก็คือ เจ็บไม่มาก สามารถที่จะลงน้ำหนักเดินได้ภายใน 1-2 วัน ผู้ป่วยกลับบ้านเร็ว ข้อเสียคือ ต้องมีการใส่ข้อเทียมเข้าไปและเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการผ่าแบบที่ 2
4. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมทั้งหมด (Total knee replacement) คือ ต้องเปลี่ยนข้อกระดูกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกระดูกต้นขา กระดูกขา และกระดูกลูกสะบ้า โดยการนำข้อเทียมเข้าไปครอบกระดูกที่เสื่อมไว้ ลักษณะคล้ายๆ กับการครอบฟันที่เมื่อฟันผุก็จะนำเหล็กเข้าไปครอบไว้ ซึ่งกระดูกเดิมก็ยังคงอยู่
สำหรับผู้ป่วยท่านใดควรเลือกการผ่าตัดแบบไหนนั้น...อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค รวมทั้ง ควรปรึกษาและร่วมตัดสินใจกับแพทย์ด้วย







