VR ปลอดภัยในโลกเสมือน

เทคโนโลยี VR ที่นิยมนำมาใช้ในการเล่นเกมและความบันเทิง วันนี้กลายเป็นเครื่องมือสร้างเจ้าหน้าที่มือฉกาจรองรับสถานการณ์เสี่ยงภัยทุกรูปแบบ
ในเหตุการณ์ความไม่สงบ การกู้ชีพ เข้าช่วยเหลือตัวประกัน การรับมือภัยพิบัติ หรือแม้กระทั่งจัดการกับสถานการณ์โรคระบาด ล้วนไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองหากผู้ปฏิบัติงานพลั้งพลาด นั่นอาจหมายถึงชีวิตไม่ผู้ประสบเหตุก็ตัวผู้ปฏิบัติงาน
การฝึกฝนของเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรไม่เหมือนการฝึกงานเพื่อผ่านโปรโดยทั่วไป ในงานที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงจำเป็นต้องเชี่ยวชาญมากพอ จะไปรอลุ้นหน้างานไม่ได้ แต่เรื่องจริงที่ผ่านมาการฝึกฝนต่างๆ เหล่านี้มีทั้งจากการอบรมและด้นสดในการปฏิบัติจริง
มาถึงยุคดิจิทัลแบบนี้ เทคโนโลยี VR (Virtual Reality) สร้างบรรยากาศเสมือนจริง จึงถูกนำมาใช้ให้ได้ประสิทธิภาพมากกว่าแค่การฝึกแบบอะนาล็อกเพียงอย่างเดียว
- VR เหนือกว่าประสบการณ์
ถึงยังไม่เจอกับตัวก็น่าจะพอคาดเดากันได้ว่าภาวะบีบคั้นจากสถานการณ์ไม่ปกติจะสร้างแรงกดดันได้มากแค่ไหน ลำพังหลักวิชาการที่เรียนรู้มา การฝึกปฏิบัติกับหุ่นหรือเหตุการณ์จำลองซึ่งยังมีข้อจำกัดอาจยังไม่สมจริงมากพอ กับเหตุการณ์ความรุนแรงมากๆ การได้เห็นภาพเสมือนจริง ท่ามกลางบรรยากาศเสมือนจริง จะช่วยเพิ่มแรงกดดันและฝึกทักษะการตัดสินใจได้อย่างดี
คริสเตียน รูฟแฟร์ หัวหน้าแผนก Virtual Reality ของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) บอกว่า เหตุผลที่เลือก VR มาเป็นเครื่องมือหนึ่งเพื่องานด้านสันติภาพเพราะ
สร้างบรรยากาศการฝึกอบรมที่เป็นกลางและปลอดภัยที่สุด ในแง่สิ่งแวดล้อมแล้วก็เป็นการลดคาร์บอนฟุตพรินท์ของ ICRC ที่ปกติต้องส่งผู้เชี่ยวชาญบินไปทั่วโลกเพื่อร่วมการฝึกอบรม และแน่นอนว่านี่คือตัวช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการฝึกอบรม เพราะบรรจุกิจกรรมที่ต้องลงมือทำได้หลากหลายและได้ผลมากกว่าแค่ดู
“ในแง่การลดความสูญเสีย VR เทคโนโลยีมีส่วนช่วยอย่างมากในการเสริมสร้างประสิทธิภาพ แต่การจะเชื่อมโยงสิ่งนี้กับการลดจำนวนการสูญเสียชีวิตนั้นเป็นเรื่องยาก แต่อาจกล่าวได้ว่าโดยทั่วไปแล้วมันช่วยป้องกันการสูญเสียชีวิตได้ในระดับหนึ่ง เราเชื่อว่ามันมีประสิทธิภาพแต่เราก็ต้องยอมรับและตระหนักว่าคนที่เป็นมืออาชีพจะใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้มีประสิทธิภาพดีกว่า”
อีกเหตุผลซึ่งสัมพันธ์กับยุคสมัย คือพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปจากเดิมคืออ่านหนังสือและดูทีวีลดลง แต่สนใจเทคโนโลยีมากขึ้น องค์กรด้านมนุษยธรรมเองก็ต้องปรับตัวตาม ผสมผสานรวมเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้ตอบโจทย์ดังกล่าว
คริสเตียน อธิบายว่าเทคโนโลยี VR ช่วยทำให้คนรุ่นใหม่เข้าไปอยู่ในเรื่องราวนั้นได้จริงๆ รู้สึกและโต้ตอบกับเรื่องราวนั้นๆ และเมื่อเทียบกับสื่ออื่นแนว passive หรือที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวมากนัก พบว่าคนส่วนมากจดจำข้อมูลจากประสบการณ์ VR ได้มากกว่า
“เรากำลังอาศัยอยู่ในโลกที่ทุกอย่างถูกทำให้เป็นเรื่องการเมือง ดังนั้นความสามารถที่จะสร้างเครื่องมือเพื่อช่วยฝึกอบรมที่สมจริงมากๆ โดยไม่ต้องใช้ภาพหรือวีดีโอจริงๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ ICRC ในฐานะองค์กรที่เป็นกลางแห่งหนึ่ง โดยเครื่องมือเพื่อช่วยฝึกอบรมเครื่องมือแรกที่เราสร้างขึ้นนั้นเป็นวีดีโอแบบง่ายๆ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการขัดกันทางอาวุธ แต่ตอนนี้เราสามารถที่จะมอบประสบการณ์ร่วมในรูปแบบ Immersive Experience (ประสบการณ์เชิงลึก)”
- โลกจำลองด้วยสองมือ
เบื้องหลังความเสมือนจริงที่ถูกนำไปใช้กันทั่วโลกเกิดขึ้นที่ประเทศไทย ทีมนักพัฒนาทั้ง Programmer และ 3D Artist ล้วนเป็นยอดฝีมือจากวงการโปรแกรมเมอร์และนักพัฒนาเกม บวกกับฐานข้อมูลจากแหล่งจริงยิ่งส่งเสริมกันเป็น VR ระดับคุณภาพ
ตัวแทนทีมพัฒนาอย่าง กฤช นวฤทธิ์โลหะ 3D Artist เล่าถึงการทำงานว่าเมื่อได้ข้อมูลมา ขั้นตอนต่อไปคือสร้าง ‘นามธรรม’ ให้เป็น ‘รูปธรรม’ โดยคนที่ต้องการให้ ICRC ทำ VR เพื่องานด้านสันติภาพจะต้องส่งภาพสถานที่จริงหรือใกล้เคียงที่สุด แม้กระทั่งภาพอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในภารกิจ เพราะงาน Pre-Production คือหัวใจหลักของความสมจริง
ทว่าความสมจริงดังกล่าวยังไม่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับเกม Triple A ที่เป็นเกมโปรดักชั่นใหญ่ กราฟิกสูงๆ ด้วยเหตุผลเรื่องการใช้งานจริงที่ต้องการแค่จำลองเหตุการณ์และสถานที่ให้เสมือน จึงตัดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกได้บ้าง แต่ยังคงไว้ซึ่งจุดขายคือต้องไม่น่าเบื่อ
“ไม่ใช่ว่าเราโยนภาพกราฟิกลงไปแล้วใช้งานได้เลย เราต้องดีไซน์ฉากด้วย สมมติเขาถ่ายจากสถานการณ์จริงมา แต่ในเรื่องการทำสื่อพวกนี้บางอย่างจะทำแบบตรงไปตรงมาไม่ได้ ต้องมีลูกเล่น ต้องมีเกมเพลย์ ถ้าเกิดเราไม่มีเกมเพลย์จะทำให้คนที่ใช้งานรู้สึกนิ่ง ตัน น่าเบื่อ เราจึงต้องมีทีมดีไซน์ฉาก พรอพ เกมเพลย์ เพื่อให้คนที่ใช้งานรู้สึกอินกับมันสมกับเป็น VR
แต่จะไม่ถึงขนาดโอเพ่นเวิลด์ ด้วยข้อจำกัด เพราะ VR อยู่ในแว่นอันเดียว มันจะประมวลภาพได้แค่เฉพาะบริเวณที่เราอยู่เท่านั้นเอง ถ้าเราทำในเกม Triple A เราจะประมวลฉากเดียวกันนี้ในระยะไกลได้ แต่นี่ประมวลฉากได้รอบตัวเราไม่เกิน 5 เมตร เราจึงต้องคุยกับองค์กรที่ให้เราทำว่าจะทำทุกอย่างกินวงกว้างไม่ได้นะ อันที่มองไม่เห็นเราจะปิดกั้นด้วยตึก ด้วยผนัง เพื่อบังสายตา”
ในเชิงเทคนิค ภาพที่มองเห็นจากแว่น VR ช่วงราคา 2-4 หมื่นบาทซึ่งหน่วยงานต่างๆ จัดซื้อมาใช้ จะมองเห็นความละเอียดไม่ถึงระดับ 2K ด้วยซ้ำไป แต่ทีมพัฒนาบอกว่าพวกเขาสร้างไว้ในระดับ 4K เพื่อรองรับกรณีที่เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นหรืออุปกรณ์ VR มีศักยภาพมากพอ ในอนาคตจะนำซอฟต์แวร์เดียวกันมาใช้ได้แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม
จากวันแรกที่เริ่มโปรเจคในปี 2014 จนถึงตอนนี้ ICRC ได้สร้าง VR ไปแล้วร่วม 20 ชิ้น ทั้งใหญ่และเล็ก ที่นับเป็นผลงานชิ้นสำคัญและค่อนข้างใหญ่ตัวอย่างเช่น VR การจำลองเหตุการณ์แผ่นดินไหว และเรื่องผู้อพยพ กฤชบอกว่าทำเรื่องผู้อพยพบ่อยมาก เพราะเกี่ยวกับกฎหมาย เกี่ยวกับมนุษยธรรม
“เราทำให้หลายองค์กรทั่วโลกเลยครับ ยกตัวอย่างที่ต่างประเทศก็มีกาชาดเกาหลี, ICRC จีน, กาชาดอังกฤษ และทางฝั่งตะวันออกกลาง เป็นสถานการณ์สงคราม เช่นระเบิดลงมามันกินอาณาเขตเท่าไร และคนที่อยู่ละแวกนั้นที่ระเบิดจะลงมาเขาควรไปอยู่ตรงจุดไหน เป็นการสอนแบบง่ายๆ เพราะไม่มีใครเคยไปอยู่ในที่ระเบิดลงขนาดนั้น
หรือของเวียดนามเป็นเรื่องกับระเบิด ระเบิดที่หลงเหลือจากสงครามเวียดนามจนถึงปัจจุบัน ฉากเป็นในชนบท ชาวบ้านที่ไปเจอกับระเบิดเขาจะต้องทำอย่างไร และตอนนี้มีผลกระทบอย่างไรต่อวิถีชีวิตของพวกเขา คือให้เราเป็นผู้ประสบภัย แต่ไม่ใช่คนช่วยเหลือ”
ส่วนในประเทศไทย มีหลายหน่วยงานเช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่กำลังพัฒนา VR เพื่อช่วยงานด้านพิสูจน์หลักฐาน
จะเห็นว่า VR ของ ICRC มีทั้งเพื่อให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรได้ใช้เพิ่มพูนประสบการณ์พัฒนาศักยภาพ ในขณะเดียวกันก็มีสำหรับประชาชนได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์เสมือนจริง
- รับมือโคโรนาด้วยวีอาร์เทคโนโลยี
นอกจากสถานการณ์ความรุนแรง ภัยพิบัติ ภาวะสงคราม การช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชน ปัจจุบันการรับมือกับโรคระบาด โควิด-19 ก็ถูกนำมาทำเป็น VR ด้วย ล่าสุดคือจำลองสถานการณ์ในเรือนจำซึ่งเป็นแหล่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดอย่างมาก
ICRC ผลิตการฝึกอบรมเหล่านี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่เจ้าหน้าที่เรือนจำทั่วโลกและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น ครอบครัวของผู้ต้องขัง ซึ่งนับตั้งแต่การระบาด โควิด-19 กลายเป็นโจทย์ท้าทายอย่างมากในสถานคุมขังเพราะผู้ต้องขังมีโอกาสเผชิญกับความยากลำบากหากเกิดการแพร่ระบาดและจะทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มเสี่ยงอย่างเลี่ยงไม่ได้
การใช้ฉากเสมือนจริงของเรือนจำ และจำลองสถานการณ์การรับมือการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในเรือนจำ โดยให้เจ้าหน้าที่เรือนจำ ผู้ต้องขัง และญาติที่มาเยี่ยม ได้เรียนรู้เพื่อลดความเสี่ยง และยิ่งไปกว่านั้นเป็นการกระตุ้นให้สังคมรอบข้าง เช่น ครอบครัวของผู้ต้องขังเข้าใจถึงมาตรการต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่เรือนจำต้องนำมาใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
หัวใจของ VR ชุดนี้คือการสื่อสารที่ถูกต้องแก่ทุกคนเกี่ยวกับโควิด-19 โดยอัพเดทมาตรการต่างๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างความไว้วางใจ ลดความตึงเครียด และทำให้เกิดการยอมรับ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องระบุให้ชัดเจนว่ามาตรการเหล่านี้ออกมาเพื่อป้องกันสุขภาพของผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่รวมถึงชุมชนรอบข้างอย่างไร
ปัจจุบัน VR ชุดนี้ถูกผลิตและแจกจ่ายไปยังเรือนจำทั่วโลก และจัดทำเป็น 12 ภาษา เช่น อังกฤษ โปรตุกีส ฝรั่งเศส ดารี สเปน อารบิก ฯลฯ โดยทั้งหมดถูกผลิตออกมาเป็นซีรีส์สามชิ้น ได้แก่ การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของญาติเวลามาเยี่ยมผู้ต้องขัง, การให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้ต้องขังโดยผู้บัญชาการเรือนจำ และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ




