'ข่มขืน' วิบัติเชิงโครงสร้าง สังคม-การศึกษาไทย

เมื่อระบบ 'การศึกษา' มอบอำนาจล้นเหลือให้ครู สถานที่ที่ควรปลอดภัยสำหรับเด็ก จึงกลายเป็นเขตอันตรายของการล่วงละเมิดทางเพศ
ข่มขืน การทำร้ายทางร่างกาย ล่วงละเมิดทางเพศ บังคับ ขืนใจ ขู่เข็ญ โดยอีกฝ่ายไม่เต็มใจไม่ยินยอม คือ ปรากฎการณ์สะท้อนบรรทัดฐานของสังคมนั้นๆ ว่าให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากกว่ากัน อำนาจการปกครองที่มีอยู่สามารถทำให้สังคมนั้นสงบสุขได้หรือไม่
เหตุการณ์ ครู 5 คนและศิษย์เก่า 2 คน ร่วมข่มขืนเด็กนักเรียนวัย 14 ปี พร้อมถ่ายคลิปไว้ข่มขู่มานานแรมปี ที่จังหวัดมุกดาหาร บ่งบอกว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ในภาวะไร้สำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ขั้นเลวร้ายถึงขีดสุด โดยเฉพาะอาชีพครู
- โครงสร้างอำนาจที่บิดเบี้ยว
เมื่อสำนึกความเป็นครูบกพร่อง ประกอบกับอำนาจที่ได้จากโครงสร้างระบบการศึกษาไทย ที่คนในชุมชนไม่สามารถตรวจสอบประเมินครูได้ นอกจากกระทรวงศึกษาหรือส่วนกลาง ทำให้ครูกระทำทุกอย่างตามใจตนเอง
“ปัญหาครูล่วงละเมิดทางเพศเด็กมีมาตลอด ปี 56, 21 คน ปี 57, 7 คน ปี 58, 8 คน ปี 59, 12 คน ปี 60, 8 คน ช่วงอายุ 11-20 ปีจะมีตัวเลขที่สูงมาก สถานที่เกิดเหตุมากสุดคือที่บ้าน โดยคนในครอบครัว ที่ห้องเช่า โดยคนใกล้ตัว ที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย วัด ในห้องน้ำ ที่ทำงาน คนที่กระทำมีทุกอาชีพ ที่คล้ายกันคือ การใช้อำนาจ ใช้การหลอกล่อ มีแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้น
ก่อนหน้านี้ผมไปทำงานที่จังหวัดมุกดาหารพบว่ามีกรณีแบบนี้เกิดขึ้น แต่ครั้งนั้นมีการเจรจาจ่ายเงินให้จบไป มาปีนี้ได้เกิดเหตุแบบนั้นขึ้นมาอีก แสดงว่านี่คือปัญหาเชิงโครงสร้าง การออกแบบระบบการศึกษาเป็นแบบรวมศูนย์จากกระทรวงไปสู่โรงเรียน และอำนาจในโรงเรียนอยู่ที่ครู กิจกรรมต่างๆ ครูเป็นผู้จัดการทั้งหมด ไม่ว่าหลักสูตร ผลการเรียน พอเกิดเหตุขึ้น ก็ใช้วิธีการไกล่เกลี่ย เพราะคนไม่เชื่อ ครูจะไปทำได้ยังไง” จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวในเฟซบุ๊กไลฟ์ หัวข้อ '‘ข่มขืน’ ใต้วงจรแห่งอำนาจและทางออกจากวังวนปัญหา' จัดโดย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
นอกจากโครงสร้างอำนาจทางการศึกษาแล้ว ยังมีโครงสร้างอำนาจชายเป็นใหญ่ซ้อนทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง ทำให้ปัญหาการข่มขืนเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเมืองไทย
"ปัญหาที่เกิดกับเด็กในโรงเรียน เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ปัญหาของเด็กโชคร้ายไปเจอครูไม่ดี สถิติบอกได้แค่ 6-7 ปี ที่เป็นข่าว แต่จริงๆ เด็ก นักเรียน นักศึกษา ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยครูอาจารย์บุคลากรทางการศึกษามีมานานแล้ว เราไม่เคยรับรู้ว่ามันมีมากแค่ไหน ที่ไม่เป็นข่าวเพราะมีการไกล่เกลี่ย ข่มขืนแล้วจ่ายเงิน ผูกข้อมือเป็นเมีย แล้วเลิกรากันไป
ตัวเลขที่เรามีอยู่น้อยกว่าความเป็นจริงมาก เป็นปัญหาเรื่องวัฒนธรรมกับอำนาจ เรื่องเพศ ไทยเราให้อิสระกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ชายต้องมีประสบการณ์ทางเพศ จะได้มาด้วยวิธีใดก็ได้ มีกิ๊ก มีเมียน้อยก็ได้ สังคมอะลุ้มอล่วย แต่จะควบคุมทางเพศกับผู้หญิงให้รักนวลสงวนตัว มีคำว่า เด็กใจแตก เด็กแรด พอเกิดเหตุขึ้น ก็จะมีตรรกะวิบัติ มาโทษเหยื่อว่าเป็นคนที่หาเรื่องเอง เด็กมันขาย กรณีมีข้อมูลชัดเจนว่าข่มขืน ก็จะมีคำถามว่า แล้วออกไปทำไมมืดๆ ค่ำๆ ไปทำไมกับเขา ไปบ้านพักครูทำไม"
นอกจากมายาคติเรื่องชายเป็นใหญ่แล้ว สังคมไทยยังมีค่านิยมว่า ครูคือผู้มีพระคุณ มีวันครู วันไหว้ครู เพื่อให้เด็กแสดงความเคารพครู แต่สังคมไม่ได้ให้ความสำคัญหรือวัดคุณค่าครูจากความรู้ความสามารถ การประพฤติปฏิบัติตัวของครู
"เมื่อไรที่เป็นครู คนก็ให้ความเคารพนับถือ เมื่อครูใช้ความรุนแรงทางเพศกับเด็ก พอเด็กออกมาเปิดเผยเรื่องราว ก็ถูกกล่าวหาว่าเนรคุณ นี่คือ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ในวัฒนธรรมที่มันทับซ้อนกันเข้าไป"
ดังนั้นการล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียนจึงเกิดได้ง่ายขึ้น เพราะครูเป็นผู้มีอำนาจ และครูกับเด็กก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันในโรงเรียน
"พ่อแม่เวลาส่งลูกไปโรงเรียนก็บอกลูกว่าเชื่อฟังครูเขานะลูก โอกาสที่เด็กจะถูกครูฉ้อฉลใช้อำนาจในทางที่ผิดก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กเปราะบางในสังคม ด้วยสภาพสังคมเศรษฐกิจ เด็กกลุ่มนี้อาจไม่มีพ่อแม่อยู่ดูแลใกล้ชิด ต้องอยู่กับญาติหรือคนอื่น
กรณีมุกดาหาร นอกจากเด็กถูกครูข่มขืนแล้วยังมีครูออกมาให้กำลังใจครูผู้ต้องหาแล้วไปประณามเด็กอีก นี่คือวัฒนธรรมการยอมรับความรุนแรงที่มีอยู่ในสังคม ใครก็ตามไม่ว่าอาชีพไหนออกมาให้ความเห็นสนับสนุนการข่มขืน การใช้ความรุนแรงทางเพศ ก็เท่ากับการเป็นร่วมข่มขืนด้วย เป็นการข่มขืนทางสังคมซ้ำ นี่คือสาเหตุรากเหง้าของปัญหา โครงสร้างของระบบการศึกษาไทย” ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท แผนงานสุขภาวะเพื่อผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ ตีแผ่ความจริงที่เกิดขึ้น
- อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล
ขณะที่ความรุนแรงในโรงเรียน โดยเฉพาะการล่วงละเมิดทางเพศยังคงเกิดขึ้นภายใต้โครงสร้างอำนาจที่บิดเบี้ยว ทางเลือกที่จะต่อสู้เพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับเด็กๆ ก็เป็นหนทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายอย่างสุดกำลัง
“เมื่อไรที่ตัวผู้เสียหายอยากต่อสู้ กลไกในสังคมต้องไม่โดดเดี่ยวเขา การร่วมมือกัน ระหว่างภาคประชาสังคมอย่างพวกเราที่ไม่มีสถานะเป็นทางการ กับองค์กรของรัฐ เช่น กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ การคุ้มครองพยาน ถ้าเราไม่คุ้มครองเขาอย่างดี โอกาสที่คนกระทำความผิดจะลอยนวล นำไปสู่ความฮึกเหิม มันก็จะไปต่อเรื่อยๆ งานคุ้มครองพยานจึงต้องดูแลอย่างดีที่สุด แล้วระหว่างนั้นมีการเอ็มเพาเวอร์ ปรับเป้าหมายในการต่อสู้ให้ชัดว่าเราสู้เพื่ออะไร เราไม่ได้สู้เพื่อครอบครัวเรา เราสู้เพื่อไม่ให้มีเด็กคนอื่นๆ ถูกกระทำอีก
วันที่ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก น้องร้องไห้หลายครั้ง ถ้าเด็กเดินเข้าสู่ห้องสืบพยานโดยไม่ถูกเอ็มเพาเวอร์มาก่อน ก็เหมือนผลักเขาไปรับผิดชอบเหตุการณ์นั้น แต่นี่น้องผ่านกระบวนการแล้วตั้งเป้าหมายชัดเจนแล้วว่าเราจะสู้เพื่ออะไร กระบวนการเหล่านี้มันเปลี่ยนจากการเป็นผู้แพ้ ผู้ยอมจำนน มาเป็นผู้กล้าหาญไปแล้วค่ะ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร ใช้ทักษะที่แตกต่างกัน สนธิพลังกันทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เสียหาย แล้วส่งสัญญาณไปยังกระบวนการยุติธรรมด้วยว่า ถ้าจะไม่ให้ตราชั่งเอียง มันต้องทำหลายอย่างมาก ไม่ใช่แค่ไทม์ไลน์ที่เขียนไว้ตามตัวบทกฎหมายเท่านั้น มีการทำนอกรูปแบบเยอะแยะไปหมด ก็คือการร่วมมือกัน” ทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน ที่ปรึกษามูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว พูดถึงการทำงานที่ผ่านมา
ซึ่งวิธีการช่วยให้ผู้ถูกทำร้ายไม่รู้สึกโดดเดี่ยว คือเอาเหตุการณ์ต่างๆ มาเรียงกันใหม่ให้เกิดความแม่นยำ เพื่อให้ตอนสืบพยานในศาลแล้วไม่พลาด กรณีน้ำเพียงดิน แม่ฮ่องสอน และเกาะแรด ที่พังงา ถือว่าโชคดีที่กลุ่มประชาสังคมได้พบกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ใจกว้าง ยินดีให้ร่วมทำงานด้วยกัน ทำให้คนที่ตกอยู่ในภาวะที่แย่ที่สุดได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
“กรณีน้องสองคนที่มุกดาหาร เราติดตามข่าวแล้วรู้สึกว่า เอาอีกแล้วหรือนี่ จนกระทั่งวันที่ 5 ครูได้รับการประกันตัว เขารู้ได้อย่างไรว่าจะออกหมายจึงไปมอบตัวก่อน แสดงว่าเรากำลังเจออำนาจมากกับอำนาจน้อยปะทะกันอีกแล้วในกระบวนการยุติธรรม เราต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ปรากฏว่าคนที่ดูแลน้องแจ้งมาว่าน้องยังไม่ได้เข้าบ้านพักหนึ่งคน ถ้าเราจะไปคุยกับน้องเขาก็ยินดี เราเลยได้คุยกัน
น้องสองคนนี้ ครอบครัวเขากล้าหาญมาก ช่วงหนึ่งของการสนทนา บอกว่าเป็นเรื่องปกติของข้าราชการครูที่นั่น เคยละเมิดเด็กแล้วเจรจาจ่ายเงินเพื่อเคลียร์ ครั้งนี้ก็จะมีอีก แต่เขายืนยันว่าไม่ และจะเดินหน้าต่อ ไม่ว่าทางโน้นจะมีระดับผู้ใหญ่ในชุมชน พร้อมจ่ายเพื่อกอบกู้ความเสียหาย สำหรับชาวบ้าน การสู้มันยาก กลไกของรัฐจึงต้องทำหน้าที่ของตนเองให้เหมาะสม เราได้ไปพบน้องที่บ้านพัก แล้วก็จ้างทนายของเราเอง
หลังพูดคุยกัน พวกเราออกมา แล้วให้สมาชิกในครอบครัวปรึกษาหารือกัน เขาต้องมีสิทธิในการตัดสินใจ เพราะนี่คือชีวิตของเขา เราเพียงแต่ให้ข้อมูลเส้นทางการต่อสู้ว่ามีอะไรบ้างเท่านั้นเอง การทำให้เขารู้สึกว่าเขามีอำนาจร่วมในการตัดสินใจ มันสำคัญ มันไม่ใช่อำนาจของเรา ไม่ใช่อำนาจของรัฐ ไม่ใช่แค่ความรักความปรารถนาดีอยากมาช่วย แล้วทุกอย่างจะอยู่ในมือเรา
ปัญหาที่แท้จริงคือ 'อำนาจนิยมในโรงเรียน' ครูมีอำนาจเหนือเด็ก เด็กมักถูกขู่ในเรื่องที่ไม่ใหญ่มาก เดี๋ยวไม่ได้คะแนนนะ จะให้ตกนะ เราต้องปลดอำนาจนี้ออกไปให้ได้ คนที่นำทางเราไปมุกดาหารก็บอกว่า ชาวบ้านเกรงใจครูมาก แล้วแถวนั้นมีความเป็นชาติพันธุ์ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า ยอมได้ก็จะยอม ทั้งหมดนี้เป็นโครงสร้างเชิงอำนาจที่อยู่ในสังคมไทย” ทิชา ชี้สถานการณ์ที่ทำให้หลายครั้งหลายครอบครัวเลือกที่จะยอมความ
- สร้างกลไกให้ความเป็นธรรม
ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียนในจังหวัดมุกดาหารและอีกหลายๆ กรณีที่เป็นข่าว เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่แสดงให้เห็นว่า โครงสร้างอำนาจในระบบการศึกษาให้อำนาจครูมากเกินไป มิหนำซ้ำกลไกในการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดยังไม่มีประสิทธิภาพ
"ไม่ว่าคุณจะอยู่โรงเรียนใดในประเทศไทยถ้าคุณถูกครูละเมิด จงออกมา ผู้ใหญ่ต้องให้ความเป็นธรรม อย่างน้อยที่สุดระยะสั้นเราก็ต้องเก็บคนที่ทำร้ายเด็กก่อน จากนั้นค่อยมาดูเรื่องโครงสร้างระบบอำนาจนิยมกัน” ทิชา กล่าว สอดคล้องกับ ดร.วราภรณ์ ที่มีความเห็นไปในทางเดียวกัน
“ปัญหาล่วงละเมิดทางเพศในสถานศึกษาเป็นเรื่องที่สังคมรับรู้แล้ว ผู้บริหารกระทรวง รัฐมนตรีไล่มาถึงปลัดฯ ไม่ต้องอายแล้วเรื่องนี้ ยอมรับเถอะว่าเป็นปัญหา แล้วมาหาทางแก้ดีกว่า กระทรวงศึกษาควรต้องไปสำรวจโครงสร้างที่มีปัญหาว่าจะแก้อย่างไร ถ้าครูยังอยู่ในอำนาจของกระทรวงศึกษา เรื่องของหลักสูตร ควรกำหนดโดยชุมชนไหม ครูควรถูกประเมินผลโดยคนที่เป็นผู้ปกครอง โดยชุมชน และควรแนะนำเด็กให้รู้จักปกป้องตัวเอง ทำให้คนเป็นครูรู้ว่าการไปละเมิดสิทธิเด็ก ไปคุกคาม ไปข่มขืนเด็ก เป็นความผิดที่ร้ายแรงมาก การข่มขืนเป็นการทำร้ายตัวตนของเด็ก ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ แล้วยิ่งเป็นสถานศึกษา ซึ่งมีหน้าที่พัฒนาศักยภาพคนให้เป็นมนุษย์ที่สามารถไปพัฒนาคนอื่นต่อ กลายเป็นว่าสถานศึกษาเป็นที่ละเมิดเด็กเสียเอง
อย่าคิดว่าจัดการเรื่องมุกดาหารแล้วจะจบ ตอนนี้มันกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไปแล้ว ถ้ากระทรวงศึกษายังไม่ทำอะไร จะมีคำถามหลายเรื่องติดตามมา รัฐมนตรีบอกว่าตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนแล้ว แต่ไม่มีใครรู้รายละเอียดกลไกแก้ปัญหา กลไกนี้ควรเป็นอิสระ ล่าสุดกรณีมุกดาหาร มีการตั้งสอบวินัยครูเหล่านี้ แต่องค์ประกอบกลับเป็นศึกษาธิการจังหวัด เป็นคนในพื้นที่ นี่คือปัญหาใหญ่ระดับกระทรวง ควรมีกลไกระดับกระทรวงและมีบุคคลภายนอกที่เชี่ยวชาญเรื่องสิทธิเด็ก เรื่องความรุนแรงทางเพศ เข้าไปทำงาน นี่คือกลไกสำคัญ
มากไปกว่านั้น วราภรณ์ เสนอว่ารัฐมนตรีควรให้กระทรวงศึกษาประกาศตัวเป็นเจ้าทุกข์ร่วมในการฟ้องร้องคดีนี้ร่วมกับเด็กและครอบครัว เพราะโรงเรียนตามกฎหมายเป็นหน่วยงานคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก เมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้กับเด็กจึงควรร่วมเป็นเจ้าทุกข์ด้วย
"อยากฝากว่าพอเรื่องเงียบหายจากข่าวไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ครูเหล่านี้ไม่ได้ถูกจัดการขั้นเด็ดขาด แค่ย้ายไปที่อื่น พอไกล่เกลี่ยจ่ายเงินไม่มีคดีติดตัวแล้ว ก็มากระทำผิดซ้ำอีก กระทรวงศึกษาต้องเลิกระบบแบบนี้ ต้องมีการลงโทษขั้นรุนแรง ถ้าระดับความผิดถึงขั้นต้องถอนใบประกอบวิชาชีพครู ก็ต้องถอน นี่คือแนวทางแก้ไขเฉพาะหน้า ส่วนแนวทางป้องกัน ต้องให้การศึกษาครูเรื่องสิทธิเด็ก ซึ่งจะต้องทำต่อไป”
สำคัญที่สุดคือ ต้องย้ำชัดๆ ให้สังคมตระหนักร่วมกันว่า ไม่มีคำกล่าวอ้างอะไรที่สามารถหักล้างความผิดในการล่วงละเมิดทางเพศเด็กได้




