สิ่งประดิษฐ์ไทย ต้านภัย ‘โควิด-19’

ในสงครามโรคระบาดไวรัสโควิด-19 สิ่งประดิษฐ์มากมายถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากมันสมองและสองมือของคนไทย
ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาวะขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ทุกประเทศต้องเผชิญ แต่สำหรับประเทศไทย แม้ด้านหนึ่งจะมีเสียงสะท้อนจากความไม่เพียงพอ แต่อีกด้านก็มีการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ ตั้งแต่ระดับเบสิคถึงขั้นแอดวานซ์ เพื่อเป็นตัวช่วยในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้
- สถานศึกษาร่วมคิดป้องกันโควิด 19
ไม่ใช่แค่เก่งแต่ในเวทีการประกวด แต่สถาบันการศึกษาในบ้านเราที่มีฝีไม้ลายมือในการออกแบบสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ถือได้ว่าเป็นพลังสำคัญในการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่กลายเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพ
เริ่มจาก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้ผลิต 3 นวัตกรรมสู้โควิด-19 ขึ้นมา ได้แก่ 1.เครื่องช่วยหายใจอัตโนมัติขนาดเล็ก (Mini Emergency Ventilator) ใช้รองรับผู้ป่วยติดเชื้อในปอดภาวะฉุกเฉินที่อยู่ในระหว่างส่งตัวหรือรอรับการรักษาด้วยเครื่องช่วยหายใจ ใช้แนวคิดเครื่องช่วยหายใจชนิดบีบมือ (Ambu bag) มาประยุกต์กับระบบเมคคานิคตรวจจับจังหวะการหายใจเพื่อบีบแรงดันบวกโดยอัตโนมัติให้เข้ากับอัตราการหายใจของผู้ป่วย
2.ห้องแยกโรคความดันลบ (Negative pressure room) มีแรงดันต่ำไม่ให้อากาศที่มีเชื้อโรคไหลสู่ภายนอก ใช้พัดลมอัดอากาศ มีระบบกรองอากาศฆ่าเชื้อโรคอนุภาคขนาดเล็ก สามารถเคลื่อนที่ไปจุดคัดกรองต่างๆ ได้
3. ตู้ Swab Test ปลอดเชื้อ มีระบบควบคุมความดันลบ ระบบกรองฆ่าเชื้อก่อนปล่อยอากาศสู่ภายนอก ขณะแพทย์ทำหัตถการ Swab มีชุดจ่ายสเปรย์แอลกอฮอล์ มีหลอด UV ฆ่าเชื้อโรค มีระบบเก็บตัวอย่างแบบปลอดเชื้อ
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สจล. กล่าวว่า “ทั้ง 3 นวัตกรรม มีความจำเป็นต่อบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อใช้รักษา ควบคุมปริมาณผู้ติดเชื้อ สจล.เตรียมผลิตนวัตกรรมดังกล่าวแจกจ่ายไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศ”
เทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์ก็ไม่น้อยหน้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ประดิษฐ์ หุ่นยนต์ปิ่นโต จากรถเข็นส่งอาหารมาปรับใช้ให้ควบคุมการเคลื่อนที่ระยะไกลได้เป็น Pinto Quarantine Delivery robot ตั้งเป้าผลิต 100 ชุดมอบให้โรงพยาบาลทั่วประเทศ
รศ. ดร. วิทยา วัณณสุโภประสิทธิ์ ผู้อำนวยการ International School of Engineering หัวหน้าทีม CURoboCovid กล่าวว่า
“ได้นำหุ่นยนต์ปิ่นโตไปทดสอบใช้งานที่โรงพยาบาลหลายแห่ง มีประสิทธิภาพดี หุ่นยนต์มีขนาดเล็ก เคลื่อนที่รอบตัวคนไข้บนเตียงได้ ดูแลทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคได้ง่าย รักษาผู้ป่วยได้จากระยะไกล ลดความเสี่ยง ลดการใช้ชุดป้องกันตนเอง ตอนนี้ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แผนกฉุกเฉิน มีหุ่นยนต์ปิ่นโต 1 ตัว Quarantine Telepresence 6 เครื่อง ที่โรงพยาบาลจักรีนฤบดินทร์ มี Quarantine Telepresence 17 เครื่อง”
ด้าน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้ประดิษฐ์หุ่นยนต์ Tham-Robot เพื่อแบ่งเบาภาระความเสี่ยงติดเชื้อให้กับบุคลากรทางการแพทย์เช่นกัน รศ.ดร.ธีร เจียศิริพงษ์กุล คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มธ. กล่าวว่า
“ได้พัฒนาหุ่นยนต์ Tham-Robot ขึ้นมาด้วยการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษไว้ใต้รถเข็น ทำเป็นรถเข็นอัจฉริยะ กำหนดทิศทางเคลื่อนที่ควบคุมด้วยรีโมทคอนโทรล ไม่ต้องไปที่ห้องพักผู้ป่วย ลดการติดเชื้อจากการส่งยา ส่งอาหาร เก็บตัวอย่างปัสสาวะ อุจจาระ ขณะนี้ใช้งานอยู่ที่โรงพยาบาลสนาม ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กำลังจะผลิตเพิ่มและขยายผลไปยังโรงพยาบาลอื่น”
ในส่วนของการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย วิทยาลัยสารพัดช่าง ฉะเชิงเทรา ได้ออกแบบชุดอุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยแรงดันลบ (Negative pressure) ขึ้นมา สุริยะ จิตรพิไลเลิศ ผอ.วิทยาลัยสารพัดช่างฯ กล่าวว่า “เป็น Prototype ของวิทยาลัยสารพัดช่างฉะเชิงเทรา ใช้ชุดดูดอากาศมีตัวกรอง 3 ชั้น ด้านบนติดตั้งหลอดไฟ UV กั้นด้วยกระจก ตัวกรองสามารถถอดเปลี่ยนได้ มีพัดลมระบายอากาศแบบมอเตอร์ สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยโควิด-19 และผู้ป่วยติดเชื้ออื่นๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค ด้วยงบประมาณเพียง 5 หมื่นบาท ถูกกว่านำเข้าราคา 5 แสนบาท เพื่อนำมาช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์”
ปรับโฟกัสมาที่การดูแลตัวเองกันบ้าง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ได้คิดค้น ตู้อบฆ่าเชื้อไวรัสด้วยแสงยูวี แบบง่ายๆ ประชาชนสามารถผลิตใช้เองได้ในราคาไม่แพง ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี
ดร.อิทธิพัฒน์ รูปคม กล่าวว่า “ในชีวิตประจำวัน หลังจากกลับเข้าบ้าน เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ ธนบัตร กระเป๋าสตางค์ กุญแจรถ หน้ากากอนามัยใช้แล้ว มีโอกาสติดเชื้อไวรัส แม้เราจะใส่แมสก์และล้างมือด้วยเจลแล้วก็ตาม นักศึกษาสาขาวิศวกรรมหุ่นยนต์จึงช่วยคิดนำหลักการการฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวี (ยูวี-ซี) ที่ใช้ในทางการแพทย์มาประยุกต์ใช้ ด้วยการทำตู้หรือกล่องฆ่าเชื้อไวรัส โดยนำหลอดยูวี 1 หลอด ขนาด 6-15 วัตต์ มาติดตั้งในตู้ ที่สามารถเปิดปิดได้ ภายในบุด้วยแผ่นฟรอยด์เพื่อกระจายแสง เวลาใช้ ให้นำเสื้อผ้า กระเป๋าสตางค์ ธนบัตร กุญแจรถ ฯลฯ ที่ต้องการฆ่าเชื้อมาใส่แล้วปิดฝาให้สนิทก่อนเปิดสวิตช์ให้หลอดยูวีทำงาน 2-5 นาที ก็เสร็จสิ้นการฆ่าเชื้อ ที่สำคัญคือต้องระวังไม่ให้แสงยูวีสัมผัสกับร่างกายและดวงตาเพราะจะเป็นอันตราย”
ส่วนมหาวิทยาลัยมหาสารคาม แก้ปัญหาความไม่ไว้วางใจในที่กดเจลล้างมือของหลายคน ด้วยการประดิษฐ์ ที่กดเจลไม่ใช้มือ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
ผศ.อนิรุทธ์ โชติถนอม กล่าวว่า “อุปกรณ์ชิ้นนี้จะช่วยให้คนที่กดน้ำยาล้างมือไม่ต้องสัมผัสกับที่กดโดยตรง แต่เปลี่ยนมาใช้เท้าเหยียบแทน เป็นอุปกรณ์ที่หาได้ง่าย วิธีการทำไม่ซับซ้อน ใช้ท่อ PVC ที่เหลือใช้ นำมาดัดแปลง เป็นอุปกรณ์ทางเลือกช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์นำไปประยุกต์ใช้ได้ ขณะนี้มอบให้โรงพยาบาลมหาสารคามและโรงพยาบาลสุทธาเวชแล้ว แนวคิดนี้ไม่สงวนสิทธิ์ ใครสามารถประยุกต์หรือต่อยอดให้มีประสิทธิดียิ่งขึ้นก็สามารถดำเนินการได้”
นับว่าเป็นไอเดียสร้างสรรค์จากนักประดิษฐ์รุ่นเยาว์ที่สามารถนำไปต่อยอดประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
- หน่วยงานร่วมใจต้านภัยโควิด 19
เพราะการระบาดของไวรัสโคโรน่าครั้งนี้เป็นเรื่องใหม่และเป็นเรื่องใหญ่ในระดับโลก เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ จึงยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับการแพร่กระจายเชื้ออย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งระดมองค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพกันอย่างเร่งด่วน อาทิเช่น
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวี Germ Saber Robot ขึ้นมา เพื่อเข้าถึงพื้นที่จุดเสี่ยงและทำลายเชื้่อโรค โดยต่อยอดจากกล่องยูวีอบฆ่าเชื้อโรค UV Box
ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผอ.ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) กล่าวว่า “หุ่นยนต์นี้ประกอบด้วยหลอดยูวี-ซี พลังงาน 300 วัตต์ บังคับผ่านรีโมท ฆ่าเชื้อโรคได้ทุกสภาพพื้นที่ ฆ่าละอองฝอยของเชื้อที่ลอยในอากาศ ฆ่าเชื้อบนพื้นผิวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์การแพทย์ ที่ไม่สามารถทำความสะอาดด้วยน้ำหรือน้ำยาเคมีได้ กำลังเร่งผลิตหุ่นยนต์นี้เป็นอุปกรณ์เสริม หน่วยงานใดสนใจติดต่อได้ที่ศูนย์ฯ”
อีกหนึ่งผลงานที่ได้ทดลองใช้แล้วที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ก็คือ ห้องแยกการติดเชื้อทางอากาศความดันลบ (Airborne Inflection Isolation Room) ของ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.)
“ห้องแยกการติดเชื้อความดันลบนี้ ออกแบบตามมาตรฐานทางการแพทย์และวิศวกรรม สำหรับใช้นั่งคอย หรือใส่เตียงคนไข้ เคลื่อนย้ายง่าย น้ำหนักเบา มีความดันมากกว่า 12 ACH ประกอบด้วย พลาสติก GMP ท่อ PVC พัดลมดูดอากาศ มีขนาดกว้าง 1.30 เมตร ยาว 2.60 เมตร สูง 2.20 เมตร มีระบบนำอากาศไปทิ้ง 12 ครั้งต่อ 1 ชั่วโมง มีอากาศใหม่เข้ามาแทนที่ให้ห้องสะอาดตลอดเวลา รักษาแรงดันลบ ไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ ราคา 8,000 บาท วสท.เตรียมประดิษฐ์เตียงสำหรับผู้ป่วย ถุงครอบสำหรับแพทย์และโรงพยาบาลสนามต่อไป” ผอ.วสท.กล่าว
ด้านการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ) ก็ได้ใช้ศักยภาพของตนเองประดิษฐ์ ตู้ความดันลบ-กล่องป้องกันเชื้อ เพื่อช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ โดย วิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ให้ข้อมูลว่า
“กฟผ.ได้ระดมทีมช่างทั่วประเทศประดิษฐ์ตู้ความดันลบ กล่องป้องกันเชื้อฟุ้งกระจาย จากอะคริลิคใส ทรงสี่เหลี่ยม เจาะช่องสอดมือ มีแบบชนิดตั้งโต๊ะ สำหรับตั้งบริเวณจุดคัดกรองและขณะตรวจรักษา กับชนิดครอบศีรษะ สำหรับใช้งานขณะใส่ท่อช่วยหายใจ มีเครื่องกำเนิดแสงยูวีฆ่าเชื้อโรค หน้ากากปกป้องทั้งใบหน้า Face Shield ตู้ครอบขณะเคลื่อนย้ายผู้ป่วย นอกจากนี้ยังเตรียมศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง กฟผ. ให้เป็นสถานที่แยกตัวและเฝ้าระวังโรค ของโรงพยาบาลพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทราอีกด้วย”
นอกจากความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ แล้ว บุคลากรในโรงพยาบาลเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ประยุกต์สิ่งของใกล้ตัวให้สามารถนำมาใช้ป้องกันโควิด 19 ได้อย่างน่าชื่นชมอีกด้วย เริ่มจากสิ่งประดิษฐ์ของโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก จ.อุตรดิตถ์ ที่เรียกว่า COVID BOX ซึ่ง พ.อ.สมัย ขำพันธ์ ผอ.โรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก อธิบายว่า
“ได้นำตู้โทรศัพท์สาธารณะไม่ได้ใช้แล้วของบริษัททีโอทีจำกัด ที่มีกระจกหนา มองทะลุได้ทุกด้าน มาดัดแปลงให้มีช่องสอดมือ 2 ข้างพร้อมถุงมือยาง สามารถถอดเปลี่ยนคู่ใหม่ได้ ใช้เก็บเสมหะส่งตรวจ ลดความเสี่ยงสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ลดการใช้ชุด PPE ปัจจุบันมี 2 ตู้ พร้อมประดิษฐ์เพิ่มหากมีการร้องขอ ใช้งบ 2500 บาท แล้วก็ประดิษฐ์ ช่องจ่ายยา เว้นระยะห่าง ด้วยท่อพีวีซี 20 นิ้วผ่าครึ่ง ส่วนปลายมีตะกร้า นำล้อเคลื่อนที่ชำรุดมาประกอบเป็นฐาน ใช้งบ 200 บาท แล้วก็ประดิษฐ์ ศูนย์เปล เคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งแบบนอนและนั่ง เพิ่มกล่องพลาสติกใสกันการแพร่เชื้อระหว่างการเคลื่อนย้าย ด้วยต้นทุนเพียง 200 บาท”
นับเป็นเป็นการออกแบบที่ใช้ต้นทุนน้อยแต่ช่วยแก้ปัญหาสำคัญไปได้มากทีเดียว นอกจากนี้ยังมีผลงานของ คณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาล ที่สามารถเป็นต้นแบบให้สถานพยาบาลอื่นๆ ได้ นั่นคือ เตียงย้ายผู้ป่วยความดันลบ (medical negative pressure room) ที่มีแรงดันลบมากกว่า 2.5 pka โดยอากาศที่ไหลออกจากห้องจะผ่านการกรองเชื้อโรคระดับ HEPA filter ทำให้อากาศที่ปล่อยออกมาปลอดภัย
เตียงนี้สามารถทำเองได้ด้วยการนำเตียงติดล้อที่ใช้ในโรงพยาบาลมาประกอบโครงเหล็กขึ้นคลุมพลาสติกห่อหุ้มเตียงและต่อท่ออะลูมิเนียมควบคุมแรงดันอากาศให้เป็นลบ ดูดอากาศบริเวณที่นอนของผู้ป่วยผ่านกรองเชื้อโรคและผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV โรงพยาบาลอื่นๆ ที่มีความต้องการ สามารถติดต่อได้ที่คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล
ในสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากตัวเลขผู้ป่วยและเสียชีวิตที่ชวนหดหู่ใจแล้ว สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมต่างๆ เหล่านี้ ไม่เพียงเป็นความหวัง แต่ยังเป็นภาพสะท้อนถึงความร่วมแรงร่วมใจในสังคม ที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้ไทยผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปได้อย่างดีที่สุด







