มองมุมหนัง 'ไวรัส' มรณะ

เมื่อฉากอันแสนหดหู่ในหนังเกี่ยวกับ 'โรคระบาด' สะท้อนความจริงของ 'โควิด-19' ที่มนุษย์พึงตระหนัก
หลังโควิด-19 ระบาด ผู้คนก็พูดถึงแต่หนังเกี่ยวกับโรคระบาด ไล่ตั้งแต่ Outbreak, Flu ไปจนถึง Contagion แม้กระทั่งหนังผีดิบทาง Netflix อย่าง Kingdom ก็ยังมีคนเอาไปรวมอยู่ในหนังที่ว่าด้วยการแพร่ระบาดเข้าไปด้วย
การที่คนหันกลับไปดูหนังเก่าๆ เหล่านี้ ก็ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ‘กลัว’
ทันทีที่เริ่มระบาดที่อู่ฮั่น ผู้คนเริ่มล้มตาย รัฐบาลจีนต้องระดมสรรพกำลังสร้างโรงพยาบาลรองรับเสร็จในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ต่อมาก็ปิดเมืองอู่ฮั่น ที่เราเห็นในวันนั้นคล้ายเมืองร้างไร้ผู้คน เหมือนทั้งเมืองถูกไวรัสยึดครองไว้จริงๆ
ภาพข่าวที่ออกมาจึงเหมือนฉากหายนะภัยในหนังที่คุ้นเคย ทำให้เราคิดไม่ถึงว่า นี่คือภาพจริง เรื่องจริง ไม่ใช่มายาภาพที่ผ่านการปรุงแต่งโดยคนทำหนังระดับโลก
ขณะเดียวกันก็มีเหตุผลหลายประการอีกเหมือนกันที่ใครๆ ไม่อยากดูหนังเกี่ยวกับโรคระบาด ส่วนหนึ่งบอกว่าไม่รู้จะดูให้ตัวเองทุกข์ไปทำไม เพราะข่าวที่ดูอยู่ทุกวันก็หดหู่มากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นศพเกลื่อนเมืองในเอกวาดอร์ การฝังศพหมู่ในนิวยอร์ค รวมถึงการนอนหายใจเหนื่อยหอบรวยรินอยู่ในบ้านเพียงลำพังของหญิงชราในลอนดอน เหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะหยุดหาคำตอบใดๆ
ภัยพิบัติโควิด-19 คราวนี้ได้ทลายขอบเขตระหว่างแฟนตาซี (หรือเรื่องแต่ง) กับความเป็นจริงลงอย่างสิ้นเชิง
ทุกวันทุกชั่วโมงเราเสพเอาความร้ายกาจของโรคจนตัวเองลอยคว้างท่ามกลางข้อมูลข่าวสาร ดุจดั่งการถูกตรึงอยู่หน้าจอกับฉากแอ็คชั่นลุ้นระทึกในหนังของ เจมส์ คาเมรอน
ส่วนในชีวิตจริงของการใช้ชีวิตท่ามกลางภัยพิบัติเช่นนี้ คือความเบื่อหน่ายอย่างหนึ่ง ต้องอยู่บ้านทั้งวัน ดูหนังจนไม่รู้จะดูเรื่องอะไรอีก กินอาหารเกือบจะทุกเมนูเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเราทุกคน ก็สามารถจัดการกับความเบื่อเหล่านี้ได้ด้วยวิธีที่ต่างกันออกไป และเมื่อพิเคราะห์ให้ดีจะพบว่าการขจัดความเบื่อหน่ายออกไปจากชีวิต คือการทำให้ชีวิตตื่นเต้นและดูจะมีอะไรขึ้นมา ซึ่งไม่ต่างจากการสร้างบทหนังเรื่องหนึ่งดีๆ นี่เอง
กระนั้น ลึกๆ แล้ว เราก็ยังมีความกลัว มีความวิตกกังวลอยู่ดี พร้อมกับครุ่นคิดว่าจะรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร ครอบครัว พ่อแม่ ลูกเมีย จะอยู่กันแบบไหน ดังนั้นการเลือกดูหนังในสถานการณ์เยี่ยงนี้ จึงให้ผลลัพธ์ในสองแนวทาง –ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หากไม่กลัวหนักกว่าเดิม เพราะรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ดูแย่ลงไปหมด หรือไม่ ก็จะให้ผลในเชิงสร้างความรู้สึกสบายอกสบายใจ ว่าในที่สุดแล้ว มนุษย์ก็จะหาทางออกได้
ไบรอัน อัมมาน นักนิเวศวิทยาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control - CDC) แห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า หนังเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัส สามารถสร้างความกลัวและความตื่นตระหนกมาสู่ผู้คนได้ เพราะหนังแนวนี้เกือบทุกเรื่องมาพร้อมกับสถานการณ์เกินควบคุม ดูสับสนอลหม่าน ซึ่งต่างไปจากชีวิตจริง อย่างเช่นที่ CDC เราทำทุกทาง เพื่อให้แน่ใจว่าการแพร่ระบาดของโรคจะไม่ลุกลามไปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ‘โควิด-19’ นั้น มีคุณสมบัติครบถ้วน เพียงพอที่จะเป็น ‘หนังหายนะ’ ชั้นดีเรื่องหนึ่ง
มันเกิดขึ้นชนิดไม่รู้เนื้อรู้ตัว แพร่ระบาดเร็วยิ่งกว่าเชื้อโรคตัวไหนๆ ที่มนุษย์รู้จัก แถมอาจจะสร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศ จนยากจะคาดเดาตอนจบว่าจะไปทางไหน
เหตุนี้เราจึงต้องขวนขวายหาประสบการณ์อื่นๆ มาเทียบเคียง ว่าถึงที่สุดแล้ว โลกเคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายเช่นนี้มาบ้างหรือไม่
การขุดค้นประวัติศาสตร์ของการแพร่ระบาดของไข้หวัดสเปนช่วงปี 1918-1920 คือหนึ่งในนั้น และจากหนังเกี่ยวกับไวรัสก็เป็นสิ่งที่ทุกคนตามหา
หนังที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในช่วงนี้ มีไม่กี่เรื่อง เรื่องยอดฮิตที่สุด หนีไม่พ้น Contagion ขณะที่เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Outbreak (1995) ที่เรื่องราวว่าด้วยการแพร่กระจายของไวรัสที่คล้ายกับอีโบลา ซึ่งไวรัสนี้ถูกสร้างโดยมนุษย์เพื่อใช้ทำลายล้างอีกฝ่าย, World War Z (2013) หนังกึ่งๆ ซอมบี้ที่มี แบรด พิตต์ แสดงนำในบทของที่เป็นผู้ค้นหาต้นกำเนิดของไวรัสซอมบี้ตัวนี้ รวมถึง Flu (2013) หนังไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ของเกาหลีใต้ ซึ่งสามเรื่องหลังนี้ ยังประนีประนอม ไม่แทรกข้อมูลสมจริงมากมายเท่าเรื่องแรก
หากจำเพาะเจาะไปที่ Contagion นับว่าน่าสนใจอย่างมาก เพราะนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งก็เกิดขึ้น คือคนทั่วโลกต่างค้นหาหนังเรื่องนี้มาดู
วอร์เนอร์ บราเธอร์ ผู้ผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของโลกและถือลิขสิทธิ์หนังไว้ในมือ ระบุว่า เมื่อเดือนธันวาคม Contagion ยังอยู่อันดับที่ 270 ที่มีคนหาดูทางสตีมมิ่ง แต่พอเริ่มมีโควิด-19 ระบาดในเดือนมกราคม หนังไต่ขึ้นสู่อันดับ 2 ของหนังฮิตใน iTune (อันดับหนึ่งคือ Harry Potter) ขณะที่สตีมมิ่งเจ้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Prime Video หรือ Fandango Now ก็มีคนดูมากจนติดอันดับท็อปเทน เช่นกัน
Contagion ออกฉายเมื่อปี 2011 กำกับภาพยนตร์โดย สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก เล่าเรื่องของผู้หญิงอเมริกันคนหนึ่งเดินทางไปทำธุระที่ฮ่องกง แต่เมื่อกลับถึงอเมริกา เธอป่วย มีอาการประหลาด คล้ายๆ ไข้หวัด แต่ไม่ใช่ เมื่ออาการทรุดลงเรื่อยๆ พอนำส่งโรงพยาบาล อยู่ได้ไม่นานเธอก็เสียชีวิต เมื่อมีการสอบสวนโรคลงไปในรายละเอียด พบว่าเธอได้รับเชื้อไวรัสที่เรียกว่า MEV-1 มันกลายเป็นเชื้อโรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์อย่างน้อย 26 ล้านคนในเวลาไม่ถึงเดือน
ความสมจริงจนน่าขนลุกของ Contagion คือเหตุผลประการแรกที่ทำให้คนดูตามหา บวกกับแรงส่งมหาศาลจากนักวิทยาศาสตร์ที่พากันยอมรับว่าหนังเรื่องนี้ตรงกับความเป็นจริงเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว
นิตยสาร New Scientist ระบุในรายงานเรื่อง 'Contagion doesn't skimp on science' ว่าหนังฮอลลีวู้ดระดับบล็อคบัสเตอร์ส่วนใหญ่มักละเลยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับ Contagion แล้ว ต่างออกไป แม้มันจะไม่ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่เมื่อเทียบกับหลักฐานต่างๆ แล้ว จึงทำให้ Contagion คือหนังฮอลลีวู้ดที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกัน
ใครที่เคยดู หรือกลับมาดูอีกครั้ง จะพบว่าสิ่งที่ Contagion นำเสนอนั้น เหมือนกับเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างมาก ตั้งแต่การติดต่อของโรค แค่สัมผัสก็ติดกันได้แล้ว ถึงแม้ว่าภาพของหายนะอาจจะดูเกินจริงไปเล็กน้อย แต่ต้องยอมรับด้วยว่ากระบวนการสืบค้น หรือการสอบสวนหาสาเหตุของการแพร่ระบาดนั้น เหมือนจริงเอามากๆ
หากดูอย่างใคร่ครวญแล้ว Contagion ยังเต็มไปด้วยบทเรียนที่สามารถนำมาปรับใช้ได้จริง โดยเฉพาะการรับมือกับภาวะวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นการจัดการด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และสาธารณสุข
ที่สำคัญคือ ‘การสื่อสาร’ หากผิดเพี้ยนหรือเต็มไปด้วยวาระซ่อนเร้นดังเช่นนักการเมืองชอบเล่นกัน โอกาสที่จะจัดการให้ลุล่วงนั้น แทบจะไม่มี
ภาพจากภาพยนตร์ Contagion
ก่อนลงมือถ่ายทำ ทีมงานสร้างได้ใช้เวลาเตรียมการหาข้อมูลนานถึง 3 ปี เพื่อให้ได้ข้อมูลน่าเชื่อถือที่สุด ซึ่ง สก็อตต์ เบิร์นส คนเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ค้นคว้า ตามหา และพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์หลาย เช่น ดร.แลร์รี บิลเลียน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาอาวุโสที่คิดค้นวิธีการรักษาไข้ทรพิษในยุค 1960s และ ดร.เอียน ลิปคิน นักไวรัสวิทยา จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งคนนี้คือผู้ที่พบต้นตอไวรัสชนิดหนึ่งในมาเลเซีย และจุดประกายให้เบิร์นส์นำจุดนี้มาเป็นต้นเรื่องของการแพร่ระบาดใน Contagion ด้วย
"จากการค้นคว้าของผม สร้างความประหลาดใจอย่างมากว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาด
เพราะมนุษย์คือผู้รุกล้ำเข้าไปยังที่อยู่ของสัตว์ต่างๆ พวกมันต้องหนี ต้องถอยร่น ต้องปรับตัว ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ใกล้ชิดกับแหล่งที่อยู่ของมนุษย์มากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของมันเลย ทำให้มนุษย์ได้สัมผัสกับจุลินทรีย์ใหม่ๆ ที่มากับสัตว์เหล่านั้น เราไม่คุ้นเคยและไม่มีภูมิคุ้มกันใดๆ มาก่อนเลย" เบิร์นส บอกและย้ำว่า นี่คือจุดกำเนิดของการกลายพันธุ์และพัฒนาเป็นโรคอุบัติใหม่ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
การแพร่ระบาดของไวรัส MEV-1 จึงไม่ต่างจากโควิด-19 เริ่มจากพบผู้ป่วยคนหนึ่งไอหนักๆ พร้อมกับมือเลอะน้ำลาย จากนั้นมันก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เริ่มจากสมาชิกในครอบครัว ก่อนกระจายไปสู่ที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่การสอบสวนโรคว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร โดย Contagion ระบุให้ MEV-1 เป็นไวรัสลูกผสมระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่ กับ ไวรัสนิปาห์ (Nipah Virus)
ไวรัสนิปาห์นั้นมีอยู่จริง เป็นสาเหตุของการระบาดของโรคไข้สมองอักเสบในมาเลเซียตั้งแต่เดือนตุลาคม 2541 จนถึงปัจจุบันพบมีผู้ป่วยทั้งสิ้น 265 ราย เสียชีวิต 105 ราย เชื้อไวรัสนี้ถูกตั้งชื่อตามชื่อหมู่บ้านสุไหงนิปาห์
มาถึงจุดนี้ เราก็พอจะมองเห็นจุดเหมือนกันแล้วว่า MEV-1 ใน Contagion และเหตุการณ์ปัจจุบันนั้นเหมือนกัน, MEV-1 ในหนังเป็นโรคจากสัตว์สู่คน โดยเริ่มจากค้างคาวอุจจาระลงไปในเล้าหมู และหมูก็ถูกส่งไปขายในตลาดจีน ก่อนมันจะกลายเป็นอาหารในภัตตาคาร และคนที่เป็นตัวแพร่เชื้อคนแรก ได้รับการสัมผัสมือ จนในที่สุดก็เกิดการแพร่ระบาด ซึ่งฉากต่างๆ เหล่านี้คือคำเฉลยว่า
“วันที่ 1” เริ่มต้นได้อย่างไร
หากเราดู Contagion ไว้เป็นประสบการณ์, COVID-19 ที่เราเจอในวันนี้ ก็คือบทเรียนของมนุษยชาติว่าเราจะรับมือกับโลกที่ผิดเพี้ยนนี้แบบไหน




