8 ปาย...ไปเต๊อะไปแอ่ว

ปลดล็อคความหวาดกลัว แล้วออกทัวร์ไปยัง 8 ที่เที่ยวเมืองปาย ที่ไม่ไปไม่ได้แล้ว
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว ภาพสะท้อนของสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังเงียบเหงา ซบเซา คือสิ่งยืนยันได้อย่างดีถึงรายได้ที่หดหายไปพร้อมกับความหวาดกลัวของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ
อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็เช่นกัน นับตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 ระบาด นับตั้งแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติลดจำนวนลง ปายซึ่งเคยคึกคักกลายเป็นเมืองเหงาๆ มองแง่ดีนี่คือการให้ปายได้พักผ่อน เพราะแต่เก่าก่อนปายไม่ได้วุ่นวายเหมือนยุคที่บูมสุดขีด หลายคนจึงพอใจที่เห็นปายเงียบๆ สงบเสงี่ยมแบบนี้
แต่อย่างที่บอกไปว่าตราบใดที่การท่องเที่ยวยังเป็นรายได้สำคัญของแหล่งท่องเที่ยว การออกไปเที่ยวโดยคนไทย เพื่อแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย เพื่อบรรเทาภาวะวิกฤตแบบนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้
ต่อไปนี้คือ 8 แหล่งท่องเที่ยวเมืองปาย ที่น่าไปแอ่ว
1.กองแลน
หากรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา มีแกรนด์แคนยอน ที่เมืองปายก็มี กองแลน ถึงจะไม่ใหญ่เท่า แต่สวยไม่แพ้กัน
หลายคนเรียกกองแลนว่า ปายแคนยอน แม้ส่วนตัวจะไม่เห็นด้วยกับการเอาชื่อแหล่งท่องเที่ยวต่างประเทศมาเสียบในฉายาของสถานที่ท่องเที่ยวในบ้านเรา แต่ด้วยภูมิประเทศทำนองเดียวกับแกรนด์แคนยอนคือเป็นเหวสูงชันและมีแนวสันเขาเป็นทางทอดยาว ก็นับว่าคล้ายกันพอสมควร
ชื่อกองแลนมาจากภาษาท้องถิ่น ‘กอง’ หมายถึง ถนน หรือเส้นทางสัญจร คำว่า ‘แลน’ หมายถึง ตัวตะกวดหรือตัวเงินตัวทอง กองแลนจึงหมายถึง เส้นทางสัญจรของตะกวด อันมีที่มาจากลักษณะทางที่แคบเล็กและคดเคี้ยวนั่นเอง
ความแคบกลับกลายเป็นเสน่ห์ของกองแลน คือ เมื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวซึ่งต้องเดินขึ้นมาประมาณ 200-300 เมตร จากจุดจอดรถ จะพบกับสันเขาเป็นดินสีออกส้มพาสเทล สันเขาที่ว่าค่อนข้างแคบสมชื่อ บางช่วงกว้างพอสำหรับหนึ่งคนผ่านเท่านั้น สันเขาจะทอดยาวไปในทิศทางต่างๆ ทำให้บนนี้มีจุดชมวิวหลายจุด ได้มุมมองที่ไม่เหมือนกัน
ช่วงเวลาที่คนนิยมขึ้นมามากที่สุดคือช่วงเย็น เพราะบนกองแลนเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมาก ยิ่งได้เดินบนสันเขาซึ่งยื่นออกไปทางทิศตะวันตก จะได้มุมสวยอลังการของดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา
2.สะพานโขกู้โส่
สะพานที่ทอดยาวคดเคี้ยวไปในทุ่งนา พานักท่องเที่ยวไปพบกับต้นข้าวเขียวขจียามหน้าฝน เมื่อถึงฤดูหนาวจะได้เห็นรวงข้าวสุกเหลืองอร่าม หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านจะพากันปลูกปอเทือง ซึ่งมีดอกสีเหลืองและเมื่อหมดอายุก็จะกลายเป็นปุ๋ยในนาข้าวต่อไป
‘โขกู้โส่’ เป็นภาษาไทยใหญ่ คำว่า โข แปลว่าสะพาน และ กู้โส่ แปลว่า กุศล หรือ บุญ แปลเป็นภาษาไทยว่า ‘สะพานบุญ’ เกิดขึ้นจากพระอาจารย์สาคร จารุธัมโม ผู้ดูแลสำนักสงฆ์คายคีรี ได้มีแนวคิดที่จะทำสะพานเชื่อมระหว่างสำนักสงฆ์ กับหมู่บ้านแพมบก เพื่อให้พระสงฆ์เดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ที่ห่างกันประมาณ 1 กม. และเดิมพระจะต้องเดินผ่านทุ่งนาข้าวของชาวบ้านซึ่งเส้นทางที่แคบลื่นในหน้าฝน สร้างความลำบากต่อพระและชาวบ้านที่จะเดินทางมาทำบุญที่วัด พลังศรัทธาจากญาติโยมในหมู่บ้านแพมบก, บ้านปางตอง และบ้านแม่แลบ จึงร่วมกันสร้างสะพานบุญขึ้นมา
สะพานโขกู้โส่ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแพมบก ห่างจากตัวเมืองปายประมาณ 10 กิโลเมตร เส้นทางเข้าเป็นถนนคอนกรีต รถทุกชนิดเดินทางเข้าไปได้อย่างสะดวก เมื่อเดินทางเข้าไปจะพบกับน้ำตกแพมบก จากนั้นเมื่อเดินทางไปอีกไม่ไกลก็จะถึงโขกู้โส่
สะพานที่ทอดยาวผ่านทุ่งนาขั้นบันไดของชาวบ้านแพมบก ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ชาวนากำลังเตรียมพื้นที่ ไถนา ปลูกข้าว หรือเก็บเกี่ยว ยังสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวได้เสมอ เพราะมีทั้งวิวงดงาม อากาศที่บริสุทธิ์สดชื่น และที่สำคัญมีสะพานสวยๆ อันเกิดจากแรงศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา
3.หมู่บ้านสันติชล
น้อยคนนักที่มาปายแล้วแล้วจะไม่ได้ไปหมู่บ้านจีนยูนนานมีนามว่า หมู่บ้านสันติชล หมู่บ้านแห่งนี้เป็นชุมชนท่องเที่ยวที่เป็นหน้าเป็นตาหรือแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองปายไปแล้ว
เพราะอัตลักษณ์อันชัดเจนของวัฒนธรรมชาวจีนยูนนาน ทำให้ที่นี่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จากทุกสารทิศ
ที่นี่ห่างจากตัวอำเภอเมืองปายประมาณ 4 กม. เท่านั้น ในอดีตเป็นหมู่บ้านเกือบปิดเพราะปัญหายาเสพติด ทำให้คนภายนอกไม่กล้าเข้ามา ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 ทางการได้ปราบปรามยาเสพติดจนกระทั่งปัญหาดังกล่าวหมดไปจากพื้นที่ หลังจากนั้นชุมชนได้พยายามฟื้นตัวด้วยการท่องเที่ยว
ที่นี่มีศูนย์วัฒนธรรมจีนยูนนาน บ้านสันติชล เป็นแหล่งเรียนรู้และเก็บรวบรวมเรื่องราวเกี่ยววัฒนธรรมผ่านการจำลองหมู่บ้านสไตล์จีนยูนนาน อีกทั้งยังประกอบไปด้วยจุดสำคัญมากมาย เช่น โขดหินใหญ่ที่มีมังกรพันเสาหางชี้ฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้าน, ร้านของที่ระลึก เช่น รองเท้า เสื้อผ้า ชา ผลไม้ดองและอบแห้ง อาหารแปรรูปชนิดต่างๆ, ร้านอาหารจีนยูนาน และมีบริการที่พักที่สร้างจากบ้านดิน เป็นรีสอร์ท
นอกจากบรรยากาศและความเป็นมาอย่างยาวนาน ที่นี่มีกิจกรรมท่องเที่ยวซึ่งชาวบ้านใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาชุมชน พัฒนาอาชีพ และสืบสานวัฒนธรรมจีนยูนนานเอาไว้ สำหรับกิจกรรมที่น่าสนใจมีตั้งแต่ ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนยูนนาน, การแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน การเต้นรำ การแสดงศิลปะการป้องกันตัวกังฟู และสาธิตการชงชาแบบจีน, รับประทานอาหารจีนยูนาน เช่น ขาหมู หมั่นโถว ไก่ดำตุ๋นยาจีน, เลือกซื้อของที่ระลึก เช่น ชา รองเท้าจีนยูนนานดั้งเดิม หยก เครื่องราง ผลไม้ดองและอบแห้ง ยาและสมุนไพรจีน อาหารแปรรูป, กิจกรรมโล้ชิงช้า, ขี่ม้าเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ในหมู่บ้าน, ใส่ชุดจีนและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
4.จุดชมวิวหยุนไหล
ไม่กี่ปีมานี้ ‘จุดชมวิวทะเลหมอกหยุนไหล’ ได้รับความนิยมจนติดอันดับแหล่งท่องเที่ยวของปาย โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวท่ามกลางอากาศหนาวๆ
จุดชมวิวหยุนไหลตั้งอยู่ใน อ.ปาย เลยหมู่บ้านสันติชลขึ้นไปอีกประมาณ 1.6 กิโลเมตร เมื่ออยู่บนนั้นจะมองเห็นตัวเมืองปายทั้งเมือง และมีสายหมอกที่ไหลผ่านหุบเขาสวยงามจนทำให้หลายคนหลงรักที่นี่เลยทีเดียว
สำหรับช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมเดินทางขึ้นไปจุดชมวิวทะเลหมอก คือประมาณตีห้าครึ่ง เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ และรอชมแสงแรกจากดวงอาทิตย์ในยามเช้า
และมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะค้างแรมแถวนั้น พอตอนเช้ามืดก็มารวมตัวกันเพื่อขึ้นรถของชาวบ้านที่หน้าหมู่บ้านสันติชลไปดูทะเลหมอก เหตุผลที่ต้องใช้รถของชาวบ้านเพราะทางขึ้นไปด้านบนค่อนข้างชัน และชาวบ้านในพื้นที่จะชำนาญทางมากกว่า การขึ้นรถของชาวบ้านไปจะค่อนข้างปลอดภัยในการเดินทาง มีค่าบริการคนละ 30 บาท รถเต็มประมาณ 10 คน รถถึงจะออก หรือใครจะเหมาคันขึ้นไปชมทะเลหมอกเลยก็ได้เหมือนกันอยู่ที่ครั้งละ 300 บาท
คำว่า ‘หยุนไหล’ มาจากภาษาจีนยูนนาน แปลว่า แหล่งที่มีการรวมตัวกันของเมฆ ความหมายหนึ่งคือทะเลหมอก อีกความหมายหนึ่งคือก็เปรียบเหมือนคนยูนนานที่อพยพมาจากเมืองจีน แต่ในที่สุดก็ยังคงกลับมารวมตัวได้ เหมือนที่ชาวบ้านมารวมกันตั้งหมู่บ้านสันติชลแห่งนี้
หลังจากรอคอยตั้งแต่ฟ้ายังมืดสนิท ไม่นานนักดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า สาดแสงสีทองทาทั่วท้องฟ้าให้เห็นความงดงามของเช้าวันใหม่ สวยงามราวภาพวาดโดยจิตรกรฝีมือเยี่ยม เมื่อไออุ่นจากดวงอาทิตย์ขับดันให้ความชื้นแปรสภาพเป็นไอหมอก เกิดเป็นทะเลหมอกผืนมหึมา
...เป็นอีกหนึ่งแห่งที่คุ้มค่าต่อการต้องตื่นเช้ามาชม
5.วัดศรีดอนชัย
หากพูดถึงวัดแห่งแรกของเมืองปาย จะเป็นวัดอื่นไปไม่ได้นอกจาก วัดศรีดอนชัย หรืออีกชื่อคือ วัดหลวงสะหรีบัวบาน วัดนี้มีเนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา ความเป็นมาของวัดนี้ยาวนานร่วม 700 ปี ตั้งแต่สมัยที่พะท่าหม่องซอนำทัพพม่ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ละแวกนี้ แล้วสร้างวัดขึ้นเรียกว่า วัดบ้านดอน หรือ จองใหม่
ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2020 พระเจ้าติโลกราช เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ มีพระบัญชาให้เจ้ามหาชีวิตศรีไจยาหรือเจ้าศรีไจย์ ซึ่งเป็นพระราชบุตรของพระเจ้าเสนะกูและเป็นเหลนของพระเจ้าเม็งรายมหาราช ได้นำช้างพลาย 2 เชือกซึ่งเป็นช้างเผือกทั้งคู่ มาตีทัพพม่าที่รักษาบ้านดอนอยู่จนกระทั่งทัพพม่าแตกพ่ายไป ก่อนที่ทหารพม่าจะถอยทัพได้เผาทำลายบ้านเรือนจนหมดสิ้น หลังจากการต่อสู้กันปรากฏว่า ช้างพลายทั้ง 2 เชือกได้หายไป ทหารได้ติดตามหาจนพบว่า ช้างทั้งสองได้หนีไปเล่นนํ้าในแม่นํ้าไม่มีชื่อแห่งหนึ่ง
เมื่อทหารได้นำช้างกลับคืนมาและได้กราบทูลเจ้ามหาชีวิตศรีไจยาทราบ พระองค์ทรงปรารภว่าแม่นํ้านื้ควรจะมีชื่อว่า ‘แม่น้ำปาย’ อันมาแต่ชื่อช้างที่เรียกช้างพลายว่า ‘จางปาย’ และเมืองนี้ก็ให้มีซื่อว่า ‘เมีองปาย’ จากการชนะศึกสงครามในครั้งนี้ พระเจ้าติโลกราชได้สถาปนาให้เจ้าศรีไจยเป็น ‘เจ้าชัยสงคราม’ และให้ปกครองเมืองปายในที่สุด
จนกระทั่ง พ.ศ. 2021 ได้มีการสร้างวัดขึ้นใหม่พร้อมกับการขุดคูเมือง ทำประตูเมืองทั้ง 4 ทิศ อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ (พระสิงห์) มาจากเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ มาสถิตเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง ณ วัดแห่งนี้ ได้อาราธนานิมนต์พระวชิระ ปัญญามหาเถระ จากวัดมหาโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) พร้อมกับพระมหาเถระจากเชียงรายและเมืองพะเยาอีกรวม 5 รูป มาอบรมให้ความรู้แก่ชาวบ้าน และตั้งซื่อวัดใหม่ว่า ‘วัดศรีดอนไชย’ โดยใช้ชื่อหมู่บ้านคือบ้านดอน มาวางไว้ตรงกลางชื่อของเจ้าเมือง ต่อมาจึงเขียนเป็นศรีดอนชัยตามสมัยใหม่
6.โป่งน้ำร้อนท่าปาย
ความที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนอยู่บนรอยเลื่อนของเปลือกโลก จึงเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวได้ แต่ในแง่ดีใต้แผ่นดินอำเภอปายมีขุมทรัพย์ที่ธรรมชาติมอบให้ นั่นคือพลังงานความร้อนที่ค่อยๆ คายออกมาในรูปแบบธารน้ำร้อน
ซึ่งแหล่งน้ำแร่ร้อนที่มีชื่อเสียงของปายคือ โป่งน้ำร้อนท่าปาย ที่นี่มีน้ำร้อนไหลผ่านเป็นบริเวณกว้าง มีบ่อใหญ่จำนวนสองบ่อ นอกนั้นเป็นน้ำผุดหลายจุด นอกจากน้ำร้อนแล้วทรัพยากรรอบๆ โป่งน้ำร้อนยังน่าสนใจ เพราะเป็นป่าไม้สักอุดมสมบูรณ์
โป่งน้ำร้อนท่าปายเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังที่อยู่ใกล้อำเภอปายแห่งนี้ เป็นสถานที่อาบน้ำแร่ธรรมชาติที่แวดล้อมด้วยป่าเขาลำธารและไอเย็น รอบๆ โป่งน้ำร้อนเป็นป่าไม้สัก ที่นี่มีน้ำร้อนไหลผ่านทั่วบริเวณกว้าง โดยมีบ่อใหญ่อยู่สองบ่อ บางช่วงเป็นแอ่งกว้างให้ลงแช่ตัวอาบน้ำแร่ได้ บางช่วงทำได้เพียงนั่งลงแช่เท้าเท่านั้น
การอาบน้ำแร่ในโป่งน้ำร้อนท่าปายเป็นการอาบน้ำแร่ในบ่อแช่แบบธรรมชาติที่มีสภาพเดิมๆ ปราศจากการปรุงแต่งใดๆ นอกจากนี้ อุทยานฯ ยังมีร้านสวัสดิการจำหน่ายอาหาร ขนม และไข่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวนำไปต้มในบางบ่อซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 80 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว
สำหรับคนที่ต้องการแช่ตัวในน้ำแร่ร้อน ไม่ควรเกินครั้งละ 10-15 นาที ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน (ที่มีอาการชาส่วนปลาย) หรือความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์ล่วงหน้าก่อนแช่น้ำแร่ร้อน ควรเตรียมเสื้อผ้าไปสำหรับเปลี่ยนด้วย และภายในอุทยานฯ กางเต็นท์พักแรมได้ แต่ควรติดต่ออุทยานฯ ล่วงหน้า
7.โป่งน้ำร้อนไทรงาม
อีกแหล่งน้ำแร่ร้อนของปาย คือ โป่งน้ำร้อนไทรงาม อยู่ที่บ้านไทรงาม ห่างจากตัวเมืองปายประมาณ 15 กิโลเมตร บนเส้นทางหลวงหมายเลข 1095 เป็นบ่อน้ำผุดที่มีอุณหภูมิอุ่นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ รายล้อมด้วยต้นไม้ที่เขียวขจี มีลักษณะเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็ก ผืนน้ำมีสีเขียวใส มองเห็นหินและทรายเบื้องล่าง
เดิมทีโป่งน้ำร้อนแห่งนี้ไม่เป็นที่รู้จักจากนักท่องเที่ยวชาวไทยมากนัก ส่วนมากจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียมากกว่า น้ำร้อนที่นี่อุณหภูมิประมาณ 30-32 องศาเซลเซียส โป่งน้ำร้อนไทรงามเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมาแช่น้ำให้ผ่อนคลายในบรรยากาศแบบแนบชิดธรรมชาติ เพราะเป็นน้ำผุดที่ขึ้นมาจากเบื้องล่าง ไม่ใช่น้ำพุที่พุ่งขึ้นมาเหมือนบ่อน้ำร้อนอื่นๆ
มีความเชื่อกันว่าการได้มาแช่ตัวที่น้ำพุร้อนแห่งนี้ยังช่วยบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อย่างอาการของโรคเหน็บชา หรือไขข้ออักเสบ ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวที่นี่กันเป็นจำนวนไม่น้อย
สำหรับการเดินทางจากตัวเมืองปาย ใช้เส้นทางปาย-ปางมะผ้า ประมาณ 15 กิโลเมตร ถึงทางเข้าจะเห็นป้ายเขียนว่าโป่งน้ำร้อนไทรงาม ให้เลี้ยวเข้าไปได้เลย แต่ถ้ามาจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนหรือปางมะผ้า ก่อนเข้าตัวเมืองปายจะผ่านโป่งน้ำร้อนไทรงามก่อน เส้นทางไปโป่งน้ำร้อนเป็นถนนลาดยาง แต่อาจจะแคบและชัน ต้องขับด้วยความระมัดระวัง รถทุกชนิดไปได้
8.ถนนคนเดินปาย
ถึงจะไม่ได้เก่าแก่คู่เมืองปายตั้งแต่สมัยก่อน แต่เชื่อได้เลยว่าพอพูดถึงปาย หลายคนต้องนึกถึงการได้มาเดินชิลบนถนนคนเดินปาย เพราะตั้งแต่เมืองปายบูมเมื่อสิบกว่าปีก่อน ถนนสายนี้ได้บันทึกหลากหลายเรื่องราวทั้งการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนไป ของเมืองปายเอาไว้ผ่านทุกรอยเท้าที่นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกย่ำเดิน
ถนนคนเดินปายเป็นแหล่งรวบรวมของกิน ของฝาก โฮสเทลน่ารักๆ ไว้มากมาย ซึ่งถนนสายนี้จะเริ่มปิดถนนตั้งแต่ประมาณห้าถึงหกโมงเย็น หลังจากนั้นรถยนต์ก็เข้าออกไม่ได้ ต้องไปจอดรอบนอก เพราะตลอดถนนคือแผงและร้านรวงของบรรดาพ่อค้าแม่ค้า จำหน่ายสินค้าท้องถิ่น ของแฮนด์เมด หรือของที่ระลึก
การค้าขายบนถนนสายนี้เริ่มต้นจากชาวเขาและชาวบ้านในอำเภอปายนำสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึกมาจำหน่ายให้นักท่องเที่ยว ยุคนั้นยังเป็นเพียงแผงสินค้าเล็กๆ แต่ต่อมาพ่อค้าแม่ค้าเริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่เพื่อทำการค้าจริงจังมากขึ้น จนเกิดเป็นถนนคนเดินปาย
ส่วนการปิดถนนไม่ให้รถยนต์สัญจรนั้นเกิดจากทางอำเภอปายจัดการปิดถนนชัยสงครามเริ่มจากที่ว่าการอำเภอปายไปจนถึงลำน้ำปาย นักท่องเที่ยวจึงเดินเที่ยวได้อย่างปลอดภัยสบายใจ
และถนนสายนี้ยังเป็นถนนที่สำคัญของอำเภอปาย เพราะเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในปายได้อีกหลายแห่ง
ถนนคนเดินปายเปิดบริการทุกวันในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ และวันศุกร์-เสาร์ในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน
...
ไม่ว่าวิกฤตจะมาในรูปแบบใด ถ้าคนไทยช่วยประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไป อย่างไรก็รอด







