เอาตัวรอดจาก 'COVID-19'

เอาตัวรอดจาก 'COVID-19'

เปิดความเห็นผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ ตอบทุกข้อสงสัย เพื่อรับมือการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19)

ช่วงนี้คนไทยคงได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของโรคโควิด-19 กันจนแทบจะล้นเกินแล้วนะครับ น่าจะก่อให้เกิดความสับสน งุนงง และกังวลกันไม่น้อย

ภายใต้สภาวะการระบาดของโรคที่ยังไม่แน่นอนว่า จะควบคุมอยู่เมื่อไหร่แน่ ทั้งระดับประเทศและทั้งโลก จะขอรวบรวมความคิดเห็นและคำแนะนำการปฏิบัติตนจากผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานเกี่ยวกับการให้ความรู้และรับผิดชอบการรับมือกับการระบาดของโรคติดต่อมานำเสนอ ไล่กันไปทีละคำถาม ทีละเรื่องเลยนะครับ

คำแนะนำแบบรวมๆ ในการปฏิบัติตัว ก็คือ อย่าตระหนก แต่ให้เตรียมพร้อม (Don’t panic–but do prepare)

แล้วเตรียมยังไง? รีเบกกา แคทซ์ (Rebecca Katz) ผู้อำนวยการวิทยาศาสตร์สุขภาพและความมั่นคงโลก (The Center for Global Health Science and Security) ที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยจอร์จทาว์น แนะนำว่า
“ให้ตระเตรียมตามหลักการที่เคยปฏิบัติมาในกรณีเจอเฮอร์ริเคนหรือภัยธรรมชาติอื่นๆ นั่นเอง”


นี่หมายถึงว่าให้สต็อกอาหาร ยา และอื่นๆ?

ใช่ครับ คุณรีเบกกามองว่า การเตรียมซื้อของไว้พอสมควร เผื่อในกรณีที่เกิดการระบาดใหญ่มีความจำเป็น เพราะช่วยรักษาสิ่งที่คนในวงการเรียกว่า ระยะห่างทางสังคม (social distancing) เพราะเราคงไม่ต้องการไปเข้าคิวยาวเฟื้อยกับคนจำนวนมากในห้างหรือร้านขายยา หลังจากมีประกาศว่าบริเวณที่เราอยู่เป็นเขตแพร่กระจายของโรค โดยอย่าลืมยาที่จำเป็น ยาส่วนบุคคลต่างๆ เช่น ยาความดัน ไม่ต้องตุนเยอะนะครับ แค่สักสองสามสัปดาห์ก็พอแล้ว พวกยาลดไข้ ยาแก้ปวด ก็ควรมีติดไว้ครับ

อีดิธ บราโช-ซานเชซ (Edith Bracho-Sanchez) ที่เป็นกุมารแพทย์ในศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แนะนำว่า ควรจะเตรียมอาหารง่ายๆ สำหรับผู้ป่วยที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อไว้บ้าง เช่น ซุปกระป๋องต่างๆ ไปจนถึงแครกเกอร์ เผื่อว่าเกิดป่วยขึ้นมา ส่วนบ้านเราก็คงต้องเป็นบะหมี่สำเร็จรูป นอกจากนี้ เครื่องดื่มเกลือแร่วิตามิน ก็ควรมีไว้บ้าง

เรื่องไวรัสจะคงความสามารถในการติดได้แค่ไหนบนผิวสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ของใช้ พื้นโต๊ะ ไปยันธนบัตร ก็มีตัวเลขออกมาเรื่อยๆ ทั้งลงรอยและไม่รอยกันเท่าไหร่ ศาสตราจารย์สตีเฟน มอร์ส (Stephen Morse) ที่เป็นนักระบาดวิทยาจากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ให้ข้อมูลว่าข้อมูลที่ศึกษาจากโคโรนาไวรัสอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ทำให้รู้ว่าพวกสารทำความสะอาด ซักล้างต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ตามบ้าน ฆ่าเชื้อไวรัสกลุ่มนี้ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะน้ำยาฟอกขาวหรือแอลกอฮอล์ แม้แต่การใช้น้ำสบู่เช็ดตามพื้นผิวต่างๆ ก็ได้ผลแล้วครับ ที่เป็นเช่นนั้นก็ตรงไปตรงมาครับ คือสารพวกนี้ทำลายเปลือกไขมันที่หุ้มตัวไวรัสอยู่ แบบเดียวกับที่เรากำจัดคราบน้ำมันหรือจาระบี หรือล้างคราบไขมันจากจานนั่นแหละครับ

ดร.ทริส เพิร์ล (Trish Perl) หัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อของศูนย์การแพทย์ยูทีเซาธ์เวสเทิร์น ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า หากเริ่มมีการระบาดในแถบใกล้บ้านหรือมีผู้ป่วยในบ้าน การทำความสะอาดพื้นผิวสิ่งต่างๆ ในบ้านบ่อยๆ ทั้งห้องครัว ห้องน้ำ หรือห้องอื่นๆ (ทำหลายๆ ครั้งต่อวัน) มีส่วนช่วย

“จากการศึกษาพบว่า หากเราทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม จะลดปริมาณของไวรัสที่ตกค้างอยู่บนพื้นผิวแข็งได้อย่างมีนัยสำคัญ” ซึ่งก็จะช่วยลดโอกาสที่จะป่วยลงได้

คราวนี้ก็มาถึงคำถามที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังเถียงกันไม่เลิก คือ คนทั่วไปควรจะสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่? และควรจะสวมเมื่อใดกันแน่?

คำตอบยังสับสนอยู่มาก แต่สรุปย่อๆ ก็คือ ขึ้นกับชนิดของหน้ากาก และวิธีการสวมว่าทำได้ถูกต้องหรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อส่วนหนึ่งไม่ค่อยอยากแนะนำให้คนทั่วไปสวมหน้ากากอนามัยเป็นการป้องกัน เพราะจะเป็นเสมือนการส่งสัญญาณผิดๆ และทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย และที่จริงก็ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ แต่ของไทยมีปัญหาเรื่องฝุ่นมาผสมด้วย เรื่องเลยซับซ้อนขึ้นมาอีกหน่อย

แต่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์ก็คือ “หากป่วยจะต้องส่วมหน้ากาก” ครับ
เพื่อเป็นการลดโอกาสที่จะทำให้ผู้อื่นติดเชื้อไปด้วย (อ้อ.. เวลาไอ ไม่ต้องดึงหน้ากากลงนะครับ) ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือคนอื่นๆ ในกรณีที่เราเองไปพบแพทย์

ดร.เพิร์ล ยังย้ำอีกด้วยว่า การใส่หน้ากากจะเป็นเรื่องจำเป็นมากขึ้นไปอีก หากว่าผู้ป่วยอาศัยอยู่กับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีนักหรือผู้สูงอายุ เพราะโควิด-19 เล่นงานคนกลุ่มที่อายุในวัย 60 ปีขึ้นไปรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น

สำหรับคนที่ต้องดูแลผู้ป่วย มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นได้ว่า หน้ากากอนามัยช่วยป้องกันคนดูแลได้มาก แต่มีข้อควรระวังคือ จะต้องสวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ใกล้กับผู้ป่วย และจะต้องระมัดระวังไม่เอามือไปสัมผัสกับส่วนด้านนอกของหน้ากาก (ที่อาจจะสัมผัสกับน้ำลายหรือเสมหะที่อาจปนเปื้อนไวรัสของผู้ป่วยอยู่)

คราวนี้ มาดูเรื่องการทำงานกัน ผู้ป่วยควรหยุดอยู่กับบ้านครับ อันนี้ชัดเจน คงไม่มีใครแย้งนะครับ แต่แม้ว่าเราจะไม่ป่วย หากเกิดการระบาดขึ้นในพื้นที่แล้ว หากทำได้ก็ควรจะทำงานแบบทางไกลจากที่บ้าน เพื่อลดโอกาสที่จะต้องออกไปเจอคนมากๆ แล้วติดโรคกลับมา

เรื่องนี้สำคัญมากกับคนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีคนอยู่อย่างหนาแน่น หรือต้องเดินทางผ่านพื้นที่ซึ่งต้องพบเจอกับคนจำนวนมากระหว่างทาง เช่น โดยสารรถไฟ

ถ้าเริ่มมีไข้หรือไอแห้งๆ จะทำอย่างไร? คำแนะนำก็คือ โทรติดต่อสถานพยาบาล แต่ไม่จำเป็นต้องตรงไปห้องผู้ป่วยฉุกเฉินนะครับ ถ้าระบบดีพอ จะมีการมารับตัวเพื่อลดโอกาสกระจายเชื้อให้เหลือน้อยที่สุด
จากข้อมูลปัจจุบัน อาการจากโควิด-19 มักจะไม่รุนแรงในคนส่วนใหญ่ (80% ของผู้ที่ติดเชื้อ) คือ พอเทียบได้กับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่แค่นั้น

อีกเรื่องที่ต้องคิดเผื่อไว้เลยคือ หากลูกป่วยหรือโรงเรียนลูกปิดจะทำอย่างไร? หากผู้สูงอายุที่ป่วยจะทำอย่างไร?
สุขนิสัยใหม่ที่ต้องเริ่มทำกันแล้วก็คือ เมื่อเข้าบ้านแล้ว สิ่งแรกที่ควรทำคือ ไปล้างมือครับ

มีงานวิจัยที่ทำให้ทราบว่าการล้างมืออย่างถูกวิธี (ล้างอย่างทั่วถึงและล้างนานอย่างน้อย 20 วินาที ฝรั่งบอกร้องเพลง “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” จบสองรอบพอดี

ของบ้านเราอาจจะใช้เพลง “ช้าง” (แบบคึกคักไวสักนิดนึง แทนได้นะครับ) และทำอย่างบ่อยๆ ลดโอกาสติดเชื้อไวรัสได้ราว 30–50 เปอร์เซ็นต์ เจลแอลกอฮอล์ก็ใช้แทนได้ในกรณีที่ไม่สะดวกจะล้างมือด้วยสบู่ และใช้สบู่ธรรมดาก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องใช้สบู่ที่โฆษณาว่าฆ่าเชื้อแบคทีเรียก็ได้ ไม่เกี่ยวกัน

อีกเรื่องหนึ่งที่ควรฝึกให้เป็นนิสัยคือ การไอจามใส่ข้อศอกหรือแขนเสื้อ แทนที่จะปล่อยออกมาเทิ่งๆ จากนั้นก็เช็ดที่เลอะเทอะแล้วไปล้างมือทันที ทิ้งกระดาษที่อาจมีเชื้อไวรัสอยู่ทันที

และสุดท้ายต้องพยายามฝึกตัวเองไม่เอามือมาแตะบริเวณหน้า ตา จมูก
เรื่องนี้ลดการติดเชื้อเรื่องระบบทางเดินหายใจได้จริงครับ