ตลาดไทยในบันทึกสาวต่างชาติ(1)

ตลาดไทยในบันทึกสาวต่างชาติ(1)

มิชชันนารีญิงชาวอเมริกันสมัยรัชกาลที่ 5 เล่าเเรื่องวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การค้าขาย เผยแพร่ศาสนา และการเที่ยวชมบ้านเมือง

  ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีฝรั่งตะวันตกจำนวนมากเดินทางเข้ามาในเมืองไทย ยุคนั้นเพชรบุรีเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ชาวต่างชาติจำนวนมากมักเดินทางเข้ามาถึงเมืองเพชรบุรีด้วยจุดประสงค์หลากหลายนานา ทั้งทำการค้าขาย เผยแพร่ศาสนา เที่ยวชมบ้านเมืองตามประสาวัฒนธรรมการท่องโลกของฝรั่ง

 

    ก่อนสมัยร.5 เราได้รับรู้แต่ภาพในอดีตของเมืองเพชรผ่านทางสายตาฝรั่งนักสำรวจเพศชาย หากความจริงหนึ่งที่ปรากฏออกมาจากจดหมายเหตุฝรั่งก็คือ โลกที่ชาย-หญิงมองเห็นรับรู้นั้น มีหลายสิ่งแตกต่างกันอยู่มาก

 

   โลกรายรอบที่ผู้หญิงมองเห็น ดูจะมีรายละเอียดประจำวันของชีวิตผู้คน อาหารการกิน ส่ำสัตว์ หมูหมากาไก่สารพัด มิใช่เพียงเรื่องของการเมือง การปกครอง หรือเศรษฐกิจ การทำมาหากินของผู้คนอย่างที่นักเดินทางผู้ชายบันทึกเอาไว้

 

     สาวต่างชาติคนหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในเมืองเพชรและเขียนบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เธอพบเห็น มีหลายแง่มุมน่าสนใจยิ่ง เธอผู้นั้นมีนามว่า มิสแมรี่ โลวินา คอร์ท(Mary Lovina Cort) มิชชันนารีชาวอเมริกันในศาสนาคริสต์นิกายเพรสไบทีเรียน

 

   มิสแมรีเดินทางเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาในสยามตั้งแต่พ.ศ.2417 ช่วงต้นรัชกาลที่ 5 ระหว่างพำนักอยู่ในสยาม เธอได้เขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้หลากหลาย สำหรับเรื่องของเมืองเพชรบุรีนี้ มิสแมรี่เขียนบอกเล่าเรื่องราวที่ได้พบเห็นไว้ในหนังสือ Siam or the Heart of Father India ตีพิมพ์เผยแพร่ในปีพ.ศ. 2429 ดังนี้

 

    “การเดินทางจากกรุงเทพฯ มาเพชรบุรีโดยเรือแจวทั้งวันทั้งคืน และหยุดเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อพักผ่อนและกินอาหารจะมาถึงเพชรบุรีภายในเวลา 36 ชั่วโมง หรือบางทีอาจน้อยกว่านี้....

 

 ขณะที่คุณเดินทางใกล้ถึงเมืองเพชรบุรี ทัศนียภาพจะมีความสวยงามน่าดูมากยิ่งขึ้น แม่น้ำที่คดเคี้ยวมีน้ำใสสะอาด และพืชพันธุ์ไม้ที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นอยู่สองฟากฝั่ง กอไผ่อันงดงามแกว่งไกวยอดใบที่คล้ายขนนกและโอนเอียงแลชำเลืองร่มเงาของมันเองในระลอกคลื่นที่ไหวกระเพื่อม จนเกือบจะแตะกับลำน้ำฟากตรงกันข้าม พวกต้นโกงกางที่มีใบคล้ายใบเฟิร์นขึ้นแน่นหนาอยู่ในน้ำและใกล้ชิดติดกัน จนแม้ทุกๆ สิ่งที่มีขนาดเล็กกว่าจระเข้หรือลิง ก็แทบจะไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ 

 

    บางครั้งพวกฝูงลิงทั้งหลายก็ยืนอยู่ริมฝั่งและยิงฟันใส่พวกเรา หรือจีบปากทำเสียงดัง โดยคิดว่าเราจะโยนกล้วยจากหน้าต่างเรือไปให้พวกมัน ลิงพวกนี้มีท่าทางน่าขบขันที่สุด พวกมันจะเฝ้ามองดูผลไม้อยู่อย่างเงียบๆ จนมันร่วงลงมาเอง จากนั้นพวกมันก็จะวิ่งไปยังจุดที่ผลไม้หล่นและใช้แขนหน้ายาวๆ ทั้งสองข้างล้วงเอาผลไม้ออกจากโคลนนิ่มๆ ที่กลบผลไม้อยู่ บ่อยครั้งที่พวกลิงจะล้างผลไม้ที่เก็บมาได้ จากนั้นก็จะฉีกเปลือกออก และกินมันด้วยความโอชะ....

 

     เพชรบุรีมีวัง วัด เจดีย์และป้อมปรากการบนเขามหาสวรรค์(Kow Maha Sawan) ซึ่งเป็นภูเขาแห่งสรวงสวรรค์ชั้นสูงสุด มีระบบการส่งน้ำด้วยท่อจากแม่น้ำไปยังเชิงเขา มีสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม ซึ่งได้รับการก่อสร้างอย่างแข็งแรงมั่นคง เรียกกันว่า สะพานช้าง(Elephant Bridge)ทอดข้ามแม่น้ำ มีอาคารสูงสองชั้นก่อสร้างด้วยอิฐตั้งเรียงรายตามแนวถนนในตลาด รวมถึงพระพุทธรูปที่สวยงามล้ำค่าจำนวนมากในถ้ำเขาหลวง(Royal Cave) 

 

     ตัวเมืองเพชรบุรีตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเพชรบุรีทั้งสองฝั่ง รอบๆ ตัวเมืองเป็นทุ่งราบกว้างใหญ่มีกลุ่มต้นโกโก้ และต้นตาลเป็นหย่อมๆ ต้นไม้ที่สูงสง่าเหล่านี้มีอยู่ดกดื่นที่นี่ ครั้งหนึ่งเคยมีสตรีลักษณะพิกลคนหนึ่งมาเยี่ยมเยือนข้าพเจ้า และได้บ่นให้ข้าพเจ้าฟังว่า “ไม่สามารถมองออกไปทิศทางใดๆ โดยไม่เห็นต้นตาลได้เลย เมื่อถึงตอนปลายฤดูฝน ทุ่งนาจะถูกปกคลุมไปด้วยต้นข้าวเขียวขจี ยอดรวงข้าวที่หนักด้วยเมล็ดข้าวสีขาวสมบูรณ์ พร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวและการนวดข้าว ซึ่งจะอยู่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของพวกเรา”

 

    ชีวิตแต่ละวันที่เมืองเพชรของมิสแมรีดูจะเป็นความผาสุก เบิกบานใจของเธอยิ่งนัก ธรรมชาติงามคือความประทับใจที่เหมือนจะเก็บความทรงจำนี้ไว้ไม่มีลืม

 

     “ดวงอาทิตย์ลอยพ้นจากท้องทะเลทุกๆ เช้าฉายแสงมายังบ้านที่สวยงามของพวกเรา และหายลับไปยามค่ำคืนทางทิศตะวันตกเบื้องหลังขุนเขาที่ตั้งอารักขาอยู่ระหว่างพวกเราและพม่า ปรากฏแสงอาทิตย์อัสดงที่น่าชมกับแสงโคมประทีปอันงดงามจากเขาวัง(Palace Mountain) เมื่อแสงสะท้อนจากสรวงสวรรค์สีแดงฉานส่องกระทบบนหลังคา บรรดายอดสิ่งก่อสร้างและยอดเจดีย์ทุกแห่งหนรวมทั้งดงตาลในทุ่งราบตอนล่างที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ล้วนเป็นสิ่งเตือนให้รำลึกถึงภาพเมืองแห่งสรวงสวรรค์ที่ถูกสาดส่องด้วยรังสีแห่งความงดงาม บางครั้งก็มีแถบสีแผ่ยืดยาวจากทางทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกอย่างที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นจากที่ไหนอีกเลย”

 

    แต่มุมมองที่มิสแมรีได้แลเห็นแตกต่างจากฝรั่งนักสำรวจเพศชายเป็นอย่างมาก ก็คือเรื่องราวชีวิตประจำวันของชาวบ้านเมืองเพชรที่เธอได้ประสบเมื่อ 130 กว่าปีก่อนและบันทึกไว้ว่า

 

     “เมืองเพชรบุรีมีตลาด 2 แห่ง แห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำฟากหนึ่ง และเลียบไปตามแนวถนนเหล่านี้ ซึ่งธุรกิจหลักของเมืองคือการซื้อขาย ตามถนนในตลาดมีตึกสองชั้นสร้างด้วยอิฐตั้งเรียงรายเป็นแถวๆ อยู่ทางด้านตะวันออกไกลไปเกือบครึ่งไมล์ แต่ขณะที่คุณเดินผ่านไปก็แทบจะมองไม่เห็นตึกเหล่านั้นเลย เพราะบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่อาศัยอยู่ที่นั้นต่างนำสินค้าของพวกเขาออกมาวางขายบนแผงไม้ไผ่ที่สร้างยื่นออกมาด้านหน้าตึก ดังนั้นพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่และสาวชาวตลาดจึงได้เช่าพื้นที่ข้างหน้าเพิงแผงขายของเหล่านั้นและนั่งกันบนถนน ทั้งเมื่อเวลาแดดจ้าหรือเวลาฝนตก โดยมีถาดใส่ปลา ผลไม้ หรือผักต่างๆวางไว้

 

     ผลิตผลเกือบทั้งหมดที่มีวางขายนั้น บรรดาหญิงชาวบ้านต่างนำมาจากชนบท โดยใส่ตะกร้าห้อยบนไม้คานทั้งสองข้าง หาบใส่บ่าอย่างชาวจีน พวกปลาต่างๆ ถูกนำมาจากทะเล และใส่เรือมาจากทางตอนบนและตอนล่างของแม่น้ำ พวกเราอยู่ไม่ไกลจากทะเลนัก และพวกผู้ชายคนเรือหรือหญิงชาวบ้านที่นำปลาสดมาต่างก็เป่าเขาควายกันขณะที่มุ่งหน้าสู่ตัวเมือง เพื่อส่งเสียงบอกให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขามาแล้ว จากนั้นทั้งกลุ่มผู้หญิงและเด็กๆ ต่างก็รีบเร่งมายังเรือที่จอดเทียบท่า โดยมีเศษเงินอยู่ในตะกร้าเพื่อจะซื้อปลาซึ่งมีอยู่มากมายและราคาถูก ทั้งยังมีหลากหลายชนิดที่เอร็ดอร่อย 

 

     ชาวบ้านที่นี่มีความชำนิชำนาญในการจับปลา การทำปลาตากแห้ง การทำปลาเค็ม และวิธีถนอมอาหารในแบบอื่นๆ และมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่ถูกส่งเป็นสินค้าออกไปขายจากสยาม มีกุ้งประเภทหนึ่งขนาดตัวเล็กๆ ถูกจับเป็นตันๆ จากทะเล นำมาใส่ในถังไม้หรือภาชนะดินเผาขนาดใหญ่ หมักด้วยเกลือและเหยียบจนเข้ากัน จากนั้นก็นำไปตากแดดจนกว่าส่วนผสมเปื่อย ส่วนผสมนี้เรียกว่า กะปิ(Kapick) ซึ่งจะมีสีม่วงและมีกลิ่นฉุนมากจนเราสามารถได้กลิ่นกะปิจากท้ายตลาดไปถึงหน้าตลาด มันเป็นอาหารจานโปรดอย่างหนึ่งของชาวสยาม 

 

      และดูเหมือนว่าไม่มีอาหารมื้อใดที่สมบูรณ์แบบไปได้ถ้าไม่มีกะปิ ชาวสยามใส่กะปิผสมกับแกงเผ็ดต่างๆ และใส่เพื่อปรุงรสปลาในหลายรูปแบบพวกเขายังรับประทานผลไม้สีเขียวด้วย เช่นฝักมะขาม โดยใช้จิ้มกับเกลือและกะปิครั้งหนึ่งแม่ครัวบอกข้าพเจ้าว่ากะปิคือ “เนยของชาวสยาม”(Siamese Butter) แต่มันไม่ได้ทำมาจากนมหรือเนยเลย และน่าประหลาดใจว่าเรายังทนใช้มันอยู่ได้อย่างไร พวกเขาต้องอดทนกับเนยของพวกเรา และพวกเราก็ต้องอดทนกับกะปิของพวกเขา ถือว่าเป็นการอดทนซึ่งกันและกัน”