อินเดียที่หลงรัก

ลัคเนา-อัครา-ชัยปุระ มนต์เสน่ห์เมืองเก่าในดินแดนภารตะ ที่ต้องลองสักครั้งในชีวิต
เสียงแตรดังระงมตลอดถนนเส้นที่มีรถวิ่งยาวทั้งสาย ราวกับว่าเป็นสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง ความวุ่นวายของการจราจรค่อยๆ คืบคลานเข้าหาโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ผู้คนแต่งตัวแปลกตาที่สัญจรไปมา บ่งบอกว่าเราไม่อยู่ในราชอาณาจักรไทยแน่นอน แต่เรากำลังจะได้ผจญภัยในดินแดนอันไกลโพ้น กับเมืองแห่งชมพูทวีป ดินแดนภารตะ ประเทศอินเดีย
5 วัน 4 คืนต่อจากนี้ไป คือ การเปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ในการท่องเที่ยวประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับสองของโลก มากกว่าหนึ่งพันล้านคน ระยะทางห่างออกไปจากบ้านเรากว่า 3,000 กิโลเมตร โดยสายการบิน THAI Smile บินตรงสู่อินเดียได้ถึง 7 เมืองด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นลัคเนา ชัยปุระ คยา พาราณสี มุมไบ กัลกัตตาและอาห์เมดาบัด มีมากถึง 38 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ทำให้การเดินทางของเราง่ายขึ้นเยอะ
ครั้งนี้เราบินตรงสู่ลัคเนา เพื่อซึมซับความเป็นอินเดียที่แท้ทรูก่อนจะเข้าสู่เมืองมรดกโลกที่ใครๆ ต่างบอกว่าต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต กับ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ อนุสรณ์สถานแห่งความรัก ‘ทัชมาฮาล’ ราว 3 ชั่วโมงได้จากสนามบินสุวรรภูมิสู่สนามบินเมืองลัคเนา เมืองเล็กๆ ที่ไม่เงียบสงบอย่างที่คิด
ลัคเนา เรารักนาย
ว่ากันว่าเมืองนี้เป็นประตูสู่สังเวชนียสถาน เส้นทางใหม่สำหรับผู้แสวงบุญ หรือลักษมันปุระ(Lakshmanpur) เมืองพระลักษณ์ หนึ่งในตัวละครสำคัญแห่งมหากาพย์รามายณะของอินเดีย ปัจจุบันกลายเป็นเมืองหลวงแห่งรัฐอุตตรประเทศ เมืองศูนย์กลางการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุนของอินเดียตอนเหนือ
เราเดินทางมาถึงลัคเนา ราวๆ เที่ยงคืนเศษ ไฟต์บินสี่ทุ่มโดยประมาณ สนามบินที่นี่เล็กกว่าสนามบินต่างจังหวัดบ้านเราเสียอีก จัดแจงผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยก็หอบสัมภาระเข้าโรงแรมห้าดาวของที่นี่ Le bua Hotel & Resorts ซึ่งมีสาขาอยู่ที่ไทยด้วย คืนนี้เอนกายให้สบายพุงไปก่อน เพราะการเดินทางของจริงกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
แสงจากดวงอาทิตย์ในเช้าวันนี้ ลอดผ่านตัวอาคารและตามช่องหลืบของกำแพง เรากำลังอยู่กันที่จัตุรัส Bara Imambara หรืออัครมัสยิด ศาสนสถานของชาวมุสลิมที่สร้างด้วยศิลปะผสม
ผสานระหว่างฮินดูกับมุสลิม หรือแบบเปอร์เซีย ยุโรป และแบบมุสลิมโมกุล ภายในมีห้องโถงขนาดใหญ่ไร้เสาค้ำ น่าจะเป็นท้องพระโรงในการประกอบพิธีกรรมสำคัญๆ มีทางเดินเป็นเขาวงกต และมีทางเข้าสู่ระเบียงมากถึง 1,024 ทาง แต่มีทางออกเพียงหนึ่งเดียว สร้างขึ้นในปี 1784 ใช้เวลา 7 ปี ในการเนรมิตบารา อิมามบาราให้สมบูรณ์ด้วยเงินกว่าครึ่งล้านรูปี
หากกวาดสายตาไปใกล้ๆ จะเห็นมัสยิดขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านโดดเด่นมีหอระฆังแฝดสูง นั่นคือ มัสยิดอัสฟี (Asfi Mosque) มัสยิดโบราณสุดคลาสสิกสีน้ำตาลอมเหลืองปนดำขนาดใหญ่ที่ถือเป็นพระเอกของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ มีโดมบนยอดอาคารมัสยิด 3 โดม ตั้งอยู่บนแท่นขั้นบันไดสูง เมื่อถึงคราวฝนตกน้ำจะไหลลงมาเป็นสายราวกับน้ำตกขนาดย่อม ก่อนจะแวะชมความงามของศิลปะและสถาปัตยกรรมในเมืองลัคเนากันต่อที่ รูมิ ดะร์วาซา (Rumi Darwaza) หรือ ประตูเตอร์กิซ และยังรู้จักกันในนามประตูตุรกี ที่สร้างขึ้นในปีเดียวกัน เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรม Awadhi Rumi Darwaza สูงหกสิบฟุตแบบจำลอง Sublime Porte ในอิสตันบูล มันอยู่ติดกับ Asafi Imambara ในลัคเนาและกลายเป็นเอกลักษณ์ของเมือง ทั้งยังเป็นประตูสู่เมืองลัคเนาเก่าด้วย
มัสยิดอัสฟี (Asfi Mosque)
อีกอย่าง คือเมืองนี้ค่อนข้างมีความหลากหลายทางศาสนามากที่สุดในอินเดีย เพราะในจำนวนประชากร 4 ล้านคนของลัคเนา 60 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวฮินดู 35 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวมุสลิม และอีก 5 เปอร์เซ็นต์ที่นับถือศาสนาและลัทธิแตกต่างกันไป
กำลังเพลินๆ ก็หมดครึ่งวันไปอย่างรวดเร็ว ช่วงบ่ายหลังจากพักเติมพลังกันจนอิ่มท้องที่ห้องอาหาร Azrak ในสไตล์อิตาเลียนของโรงแรมเลอบัว เรียกได้ว่าทริปนี้กินหรูอยู่อย่างมหารานี ก่อนนั่งรถไปต่อกันที่ Ambedkar Memorial & Park Lucknow สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ไม่ได้โดดเด่นที่ความร่มรื่น แต่ที่นี่เป็นอนุสรณ์สถานสีน้ำตาลอมชมพูขนาดใหญ่ที่รัฐบาลอินเดียยอมทุ่มเงินมากกว่า 600 ล้านรูปี สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการต่อสู้และรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของดร.อัมเบดการ์ (Ambedkar Memorial Park) 1 ใน 5 วีรบุรุษผู้สร้างชาติของชาวอินเดีย
Ambedkar Memorial & Park Lucknow
คนอินเดียเรียก ดร.อัมเบดการ์ ว่า ‘บาบาซาเฮบ’ เพื่อแสดงความเคารพ เพราะคำว่าบาบา แปลว่าพ่อ ส่วน ‘ซาเฮบ’ เป็นคำยกย่อง หมายถึง ท่านหรือคุณ เป็นการให้ความเคารพนับถืออย่างมาก
ก่อนจะจบหนึ่งวัน สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การมาเดิน Hazrat Ganj ย่านชอปปิงเก่าแก่ใจกลางเมืองลัคเนา
อัคราแลนด์ ดินแดนรัก
ย้ายเมืองจากลัคเนามายังอัครา ด้วยรถบัสขนาดย่อมราวๆ 4-5 ชั่วโมง กับระยะทาง 363 กิโลเมตร ก็ถึงจุดหมาย อัคราเมืองริมแม่น้ำยมุนา ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ทั้งยังเป็นอดีตเมืองหลวงของอินเดียในสมัยที่ยังเป็น ‘ฮินดูสถาน’ (Hindustan)
แน่นอนว่าการมาเยือนอัคราของนักเดินทางจากทั่วสารทิศ ทุกคนต่างมีหมุดหมายดียวกันคือ ทัชมาฮาล (Taj Mahal) อนุสรณ์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ ของพระเจ้าชาห์ ชหานชีร์ และอรชุมันท์ พานุ เพคุม หรือพระนางมุมตัช ทาฮาล ที่ออกแบบโดยสถาปนิก อุสตาด ไอซา ก่อนจะถูกประหารชีวิตหลังจากเนรมิตสิ่งสวยงามตรงหน้าอย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุผลที่ว่าจะไม่ยอมให้ใครก็ตามไปสร้างสิ่งสวยงามเช่นนี้ได้อีกต่อไป
ประตูทางเข้าสู่ทัชมาฮาล
ความรักที่เสมอต้นเสมอปลายของพระองค์ถูกใส่ไว้ในรายละเอียดปลีกย่อยของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ หินอ่อนสีขาวผ่อง ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมราและเครื่องประดับ กว้างยาวด้านละ 100 เมตร สูง 60 เมตร จึงถูกออกแบบไว้อย่างเท่าๆ กัน เพื่อเป็นสัญญะของความรักที่เท่าเทียม
กว่าจะเป็นทัชมาฮาลที่ตระการตาเช่นนี้ ต้องใช้เวลาก่อร่างสร้างนานถึง 22 ปี ด้วยกำลังคนมากกว่า 20,000 คน เป็นอนุสรณ์ที่พระเจ้าชาห์สร้างขึ้นตามคำขอของพระนางมุมตัชก่อนสิ้นลมว่า ให้พระองค์สร้างสิ่งที่เป็นอนุสรณ์เพื่อบอกแก่ชาวโลกว่า พระองค์ทรงรักหม่อมฉันมากแค่ไหน คำขอมีด้วยกัน 3 ข้อ และนั่นเป็นเพียงข้อแรก อีก 2 ข้อ คือ ขอพระองค์อย่าทรงอภิเษกสมรสใหม่ และให้ทรงเลี้ยงดูลูกๆ ทั้ง 14 พระองค์ให้ดีในฐานะพระบิดาผู้มีเมตตา หลังสร้างเสร็จภายในทัชมาฮาลก็ถูกใช้เป็นที่เก็บร่างไร้ลมหายใจของพระนางมุมตัช ทำให้ที่แห่งนี้นอกจากได้ชื่อว่าเป็นอนุสรณ์ของความรักแล้ว ยังเป็นสุสานที่ฝังร่างของทั้งพระนางมุมตัช และ พระเจ้าชาห์ ชหานอีร์ ในเวลาต่อมาด้วย
เดินเข้าไปด้านหลังสุดของทัชมาฮาล จะเป็นวิวโค้งน้ำที่สวยที่สุดของแม่น้ำยมุนา ก่อนจะนั่งรถต่อไปยัง Agra Fort หรือป้อมอัครา ปราสาทหินแดงที่ตั้งเด่นกลางเมืองถัดจากทัชมาฮาลราว 2 กิโลเมตรได้ อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของเมืองนี้ และมีเรื่องราวเชื่อมโยงกับทัชมาฮาลที่ทั้งโรแมนติกและเคล้าน้ำตาในเวลาเดียวกัน
เล่ากันว่าพระเจ้าชาห์ ชหานอีร์ ทรงถูกเจ้าชายโอรังเซบ ผู้เป็นลูกจับขังในป้อมปราการ เพราะมองว่าพ่อใช้เงินและคนมากเกินไป จึงขึ้นครองราชย์แทน เป็นเวลานานถึง 8 ปี ที่ถูกขังระหว่างนั้นพระองค์จะกำเศษกระจกที่สร้างทัชมาฮาลไว้ตลอด และใช้ส่องมองทัชมาฮาลด้วยความรักและอาลัยต่อนางอันเป็นที่รักผ่านช่องเล็กๆ ในห้องคุมขัง จนลมหายใจสุดท้าย
ทัชมาฮาลจึงไม่เพียงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แต่คือสัญลักษณ์ที่บอกชาวโลกว่า ‘รักแท้มีอยู่จริง’
ไจปูว์ เมืองสีชมพู
เข้าใกล้วันสุดท้ายของการมาเยือนอินเดีย เสียงปิ๊บๆ ปิ๊ดๆ อย่างเป็นจังหวะของแตรรถที่นี่ กลายเป็นความเคยชินที่เราได้ยินมาตลอด 4 วัน คนอินเดียบีบแตรเป็นวัฒนธรรม เป็นมารยาท เป็นการส่งสัญญาณให้รถที่อยู่ทั้งด้านข้างและด้านหน้ารับรู้
เมื่อย่างกายเข้ามาถึงเมืองชัยปุระ หรือไจปูว์ (Jaipur) ที่เดินทางต่อจากเมืองอัคราราวๆ 5.30 ชั่วโมงได้ ความงามที่อยู่ตรงหน้าของตึกสีโอรสสูงห้าชั้น ที่มีหน้าต่างเล็กๆ มองจากด้านที่เราอยู่คล้ายรังผึ้งไม่มีผิด ตกแต่งด้วยลวดลายฉลุเป็นช่องลมถึง 953 บาน ทำเอาเราเคลิ้มกับแสงระเรื่อๆ จากด้านหลังของตึกที่ส่องผ่าน ช่างงดงามจริงๆ ลืมบอกไปว่าเรากำลังพูดถึง ฮาวา มาฮาล (Hawa Mahal) พระราชวังแห่งสายลมใจกลางเมืองชัยปุระ รัฐราชสถาน สร้างในปี 1799 โดยมหาราชาสะหวาย ประธาป สิงห์ ถอดแบบมาจากรูปทรงของมงกุฎพระนารายณ์ โดยลาล ชันด์ อุสถัด ปัจจุบันเมืองนี้ยังเป็นที่รู้จักกันดีในอินเดียว่า ‘นครสีชมพู’
Hawa mahal
ตอกย้ำความสีชมพูของเมืองด้วย พระราชวังซิตี้พาเลส (The City Palace) คงไม่ต้องบอกว่าตัวอาคารเป็นสีอะไร ก็พอจะเดาได้ เพราะหนีไม่พ้นสีชมพูแน่นอน ที่นี่เป็นที่ประทับของมหาราชาแห่งชัยปุระ เป็นที่ตั้งของหมู่พระที่นั่งสำคัญๆ ภายในโดยรอบค่อนข้างกว้างขวาง ไม่แน่นทึบ ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้เปิดให้เข้าชมเป็นพิพิธภัณฑ์สะหวายมาน สิงห์ (Sawai Man Singh Museum) และยังมีส่วนที่เป็นสถานที่ประทับของเจ้าชายผู้สืบสกุลในปัจจุบันด้วย
The City Palace
ก่อนจะออกจากย่านนี้ ยังมีแหล่งละลายทรัพย์ยอดฮิตที่รายล้อมอยู่รอบนอก ใครตามหาผลิตภัณฑ์ของหิมาลายาต้องที่นี่เลย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมของฝากมากมาย ต่อราคากันสนุกจนเพลินเงยหน้ามาอีกทีตะวันก็ตกดินเสียแล้ว
เดินทางมาจนถึงวันสุดท้ายของทริปอย่างน่าใจหาย แม้อีกใจจะอดคิดถึงอาหารไทยแซ่บๆ สุดติ่ง เพราะอาหารที่นี่ไม่ค่อยถูกปากนัก แอบเลี่ยนเบาๆ แต่ก็อดคิดถึงความน่ารักของอินเดียไม่ได้ ก่อนจะกลับ เราปิดท้ายทริปกันที่ Amber Fort พระราชวังในป้อมปราการบนเนินเขา ห่างจากใจกลางเมืองชัยปุระราว 11 กิโลเมตร ป้อมปราการแห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางการทหารและการปกครองของมหาราชามาหลายยุค จึงมีอายุเก่าแก่นับพันปี สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 966 จนถึงสมัยของพระมหาราชา Man Singh ในปีค.ศ. 1592 ได้สร้างพระราชวังมัสยิด ท้องพระโรงขึ้นภายในป้อม จากนั้นก็ต่อเติมมาเรื่อยๆ จนสมบูรณ์ในสมัยมหาราชา Jai Singh ก่อนจะย้ายเมืองหลวงลงสู่ที่ราบ ภายในพระราชวังถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน การจะขึ้นมาบนพระราชวังได้มีสองทางให้เลือกด้วยกันคือเดินเท้ากับขี่ช้าง
แน่นอนว่าเราเลือกขี่ช้าง ชมวิวระหว่างทางไป ช่วยทุ่นแรงที่ต้องเดินต้านกับแรงโน้มถ่วงได้ดี เมื่อมาถึงด้านบนของพระราชวังมองเห็นวิวสุดลูกหูลูกตา ที่เขาว่ากันว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวอาจจะใช้ไม่ได้กับที่นี่ในฤดูกาลนี้นัก เพราะยิ่งสายแดดยิ่งแผดเผา
ช่วงที่เราไปยังคงเป็นช่วงฤดูร้อนของอินเดีย แต่ก็พอมีลมเย็นๆ กับแสงแดดอ่อนๆ กระทบผืนน้ำ และมีฉากหลังเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นลัคเนา อัครา หรือชัยปุระ ต่างก็เป็นมนต์เสน่ห์แห่งดินแดนภารตะ เมื่อได้มาแล้วรู้ว่าอินเดียมีมุมมองที่ทำให้เราตกหลุมรักได้ไม่ยาก
แฟชั่น อินเดียนเกิร์ล
เมื่อนึกถึงอินเดีย นอกจากหน้าคมๆ สไตล์แขกของหนุ่มสาวอินเดียแล้ว ‘สาหรี’ ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่เห็นได้ชัดของที่นี่ ไม่ว่าจะยุคไหน สตรีอินเดียต่างสวมใส่สาหรีให้เห็นกันละลานตา จนอาจเรียกได้ว่าเป็นแฟชั่น อินเดียสไตล์
แฟชั่นของอินเดียมีความเป็นมายาวนานกว่า 1,000 ปี ส่วนหนึ่งมาจากวัฒนธรรมทางตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นชุดเลื่อมและด้ายสีทอง ด้วยเสน่ห์ศิลปะการเย็บปักถักร้อยของผ้าแต่ละผืน ความงดงามของผ้าจึงออกมาในรูปแบบลวดลายที่แตกต่าง ซึ่งส่าหรีที่พูดถึงนี้เป็นผ้าชนิดหนึ่ง มีความยาวอยู่ที่ 5-6 เมตร ใช้นุ่งหรือพันรอบตัวให้ถูกต้องตามจารีตประเพณี มีลวดลายงดงามและเป็นเอกลักษณ์ไม่แพ้วัฒนธรรมหรือสถาปัตยกรรมของอินเดีย จึงถูกจัดเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายของหญิงสาวชาวอินเดีย
การจะแต่งองค์ทรงเครื่องชุดสาหรีนั้น มีองค์ประกอบด้วยกันสามส่วน ส่วนแรกคือเสื้อ จะเป็นเสื้อครอปตัวสั้นแบบรัดรูป เน้นโชว์ทรวดทรงและลอนหน้าท้องสไตล์สาวอินเดีย ส่วนที่สองคือผ้าสาหรี่และกระโปรง อย่างที่บอกว่า เราสามารถนำผ้ามาพันเป็นชุดส่าหรี่ได้หลายรูปแบบ และมีชุดแยกเป็นส่วนเสื้อกับกระโปรง ซึ่งจะเป็นปะติโค้ทหรือกระโปรงที่ใส่ด้านในส่าหรี เป็นผ้าแบบธรรมดาแต่ต้องเป็นสีเดียวกับส่าหรีตัวนอก โดยมีทั้งทรงที่จับจีบหน้าและทรงผ้าพลิ้วๆ หรือจะปล่อยชายยาวเป็นชั้นๆ ก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ส่วนสุดท้ายจะเป็นพวกเครื่องประดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ ต่างหู สร้อยประดับหน้าผาก กำไล หรือแหวน รวมถึงผ้าคลุมศีรษะเสริมสง่าและความโดดเด่น
สิ่งที่โดดเด่นของแฟชั่นผ้าสาหรี่อีกอย่างหนึ่ง คือ สีสันของผ้าที่สดใสรับกับพื้นหลังสีโทนน้ำตาลของสถาปัตยกรรมและทะเลทรายได้ดี หญิงสาวที่นี่จึงเสมือนดอกไม้ที่งดงามท่ามกลางทะเลทราย
หากมีโอกาสไปเยือนถิ่นสาหรี ลองหาซื้อมาใส่ถ่ายรูปในสไตล์สาวอินเดีย หรือจะสะบัดผ้าโชว์ความพริ้วของกระโปรงก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร แถมยังเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้อีกว่าครั้งหนึ่งเคยมาสัมผัสอินเดียในหลายๆ รูปแบบ







