‘ภาษีน้ำตาล’ ภารกิจพิชิตหวาน

‘ภาษีน้ำตาล’ ภารกิจพิชิตหวาน

เมื่อความหวานเป็นพิษร้ายต่อร่างกาย ภาษีน้ำตาลจึงผุดขึ้นพร้อมความท้าทายในการแก้ปัญหาสุขภาพคนไทย

 

เมื่อร่างกายอ่อนล้า โหยหาความสดชื่น เรามักจะนึกถึงรสสัมผัสอันละมุนละม่อม กลิ่นหอมและรสชาติหวานๆ ของชานมไข่มุกสักแก้ว หรือบิงซูราดนมข้นๆ ดังคำฮิตติดหูที่ว่า ของหวานจะเยียวยาทุกสิ่ง เป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่

แต่ด้วยเหตุนี้เองทำให้คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยถึง 28 ช้อนชาต่อคนและต่อวัน เสมือนเป็นส่วนผสมหลักในอาหารและเครื่องดื่ม สูงกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนดราว 4-7 เท่าตัว โดยต้นตอของการบริโภคน้ำตาลส่วนเกินหลักๆ นั้น มาจากเครื่องดื่มพร้อมรับประทานทั้งน้ำดำ น้ำสี รวมถึงเครื่องดื่มรสหวานอีกนานาชนิด

และการติดใจในรสหวานดังกล่าว ไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึกลึกๆ ข้างใน แต่ส่วนหนึ่งมันคือกลไกของสมองที่สั่งการ

 

8

 

เพราะชีวิตขาดหวานไม่ได้

หลายคนบอกว่าการได้กินของหวานอร่อยๆ มันสุขล้นราวกับได้ขึ้นสวรรค์ เมื่อไม่ได้กินร่างกายก็พลอยอ่อนเรี่ยวแรง และจะตามล่าหาสิ่งที่ต้องการมาเยียวยาจิตใจจนได้ เป็นเช่นนั้นเพราะกลไกการทำงานของสมองและร่างกาย

นพ.กฤษฎา ศิรามพุช หรือหมอต้น ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เล่าว่าการเสพติดความหวาน มันเกิดจากความพึงพอใจในรสชาติ ซึ่งสมองจดจำได้ดี เมื่อไรที่ต้องการความพึงพอใจเช่นเดิม จึงโหยหาที่จะกินซ้ำ และรู้สึกทุกครั้งว่าการกินหวานมันคือการให้รางวัลตัวเอง พอร่างกายอยากได้รางวัลก็จะไปกระตุ้นสมองส่วนหน้า จากนั้นสารตัวหนึ่งในสมองที่เรียกว่า โดพามีน (Dopamine) จะหลั่งออกมา หมอต้นเรียกมันอย่างเข้าใจง่ายว่า ‘สารรางวัล’

 

B98B1715-6D63-4E09-AA35-3525651D0ADC

 

สำหรับสถานการณ์ความหวานในบ้านเรายังคงน่าเป็นห่วง อาการของคนติดหวานยังเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บมากมาย หมอต้น เล่าอาการดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า บางครั้งอาการของคนติดหวานมักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เช่น เราอยากกินของหวานหลังจากกินของคาวเสร็จแล้ว สังเกตว่ามันคือความอยากไม่ใช่ความหิว หากเป็นเพียงครั้งคราวคงไม่ส่งผลกระทบนัก แต่ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ขาดไม่ได้ ซึ่งต่อจากนี้ไปร่างกายจะเปิดรับเลเวลความหวานที่มากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยอยากกินแค่ผลไม้หวานๆ ล้างปาก กลายเป็นอยากกินเค้ก อยากกินของหวานอื่นๆ ที่เพิ่มปริมาณขึ้นไปอีก เมื่อไรที่มีอาการเช่นนี้ แสดงว่าคุณเริ่มเสพติดความหวานที่ว่าเข้าแล้ว

“อาการขาดหวานอาจจะไม่ได้รุนแรงถึงขั้นลงแดง แต่มันจะทำให้เราหงุดหงิด กระวนกระวาย เปรียบเทียบง่ายๆ อย่างปลายปีเราเคยได้โบนัส อยู่ดีก็บอกเศรษฐกิจไม่ดี ไม่มีโบนัสแจก เราก็จะคร่ำครวญ หรือโวยวายว่าทำไมไม่ได้ เกิดอาการหงุดหงิด เช่นเดียวกันกับอาการของคนขาดหวานนั่นแหละครับและอาการติดว่านั้นไม่ใช่โรคนะ แต่เป็นแค่ภาวะอย่างหนึ่ง เรียกว่า ภาวะติดหวาน”

แม้กระแสเฮลตี้ กินคลีนเพื่อสุขภาพจะค่อนข้างมาแรงไม่แพ้ชานมไข่มุกฟีเวอร์ จะเห็นว่าคนส่วนมากมักจะหันไปบริโภคสารให้ความหวานประเภทน้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลที่เรากินกันปกติ ซึ่งความพิเศษของสารตัวนี้คือจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลอย่างมาก นั่นเป็นเพราะเรามีทางเลือกในการบริโภคที่หลากหลาย แม้กระทั่งการสั่งรสชาติได้ตามใจปาก สั่งระดับความหวานได้ตามใจชอบ แต่เมื่อความหวานของคนเราไม่เท่ากัน จึงเกิดข้อถกเถียงที่ว่า หวานน้อยในอุดมคติของผู้บริโภคกับผู้ผลิตนั้นต่างกัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรจะบริโภคน้ำตาลในปริมาณเท่าไร

ตามหลักโภชนาการแล้ว ในหนึ่งวันเราควรได้รับปริมาณน้ำตาลเพียง 6 ช้อนชาเท่านั้น หากแบ่งตามช่วงวัยแล้ว เด็กอายุ 6-13 ปี หญิงวัยทำงาน 25-60 ปี หรือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ใช้พลังงานต่อวัน 1,600 กิโลแคลอรี่ ไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 4 ช้อนชาต่อวัน ในวัยรุ่นทั้งหญิงและชาย 14-25 ปีไปจนถึงชายวัย 25-60 ปี ที่ใช้พลังงานต่อวัน 2,000 กิโลแคลอรี่ ปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 6 ช้อนชา และสำหรับหญิงชายประกอบอาชีพเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน หรือนักกีฬา ที่ใช้พลังงานมากถึง 2,400 กิโลแคลอรี่นั้น บริโภคน้ำตาลได้ไม่เกิน 8 ช้อนชา

 

9940

 

หวานทำพิษ ชีวิตเปลี่ยน

ความหวานของน้ำตาลแฝงเร้นไปด้วยพิษสง เป็นต้นตอของสารพัดโรคภัย เพราะร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงาน ซึ่งถ้าเรากินเข้าไปมากกว่านำมาใช้ พลังงานจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บสะสมตามร่างกาย เป็นสาเหตุของโรคอ้วนลงพุงแบบมฤตยู หรือ metabolic syndrome และเมื่อไรที่ไปสะสมที่ตับหรือหลอดเลือด จะทำให้ไขมันในเลือดผิดปกติ นำไปสู่โรคเรื้อรังยอดฮิตอย่าง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมองอุดตัน และอาจเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลวในที่สุด ซึ่งมักเกิดจากการบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควร แต่ถึงอย่างนั้นน้ำตาลก็ยังเป็นแหล่งพลังงานที่ดีอย่างหนึ่งของร่างกายด้วยเช่นกัน

หมอต้นอธิบายว่า น้ำตาลถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ น้ำตาลแท้กับน้ำตาลเทียม ซึ่งน้ำตาลแท้เป็นน้ำตาลที่ได้จากธรรมชาติ พวกน้ำตาลทราย น้ำตาลกรวด น้ำตาลมะพร้าว น้ำผึ้ง และน้ำเชื่อม ส่วนน้ำตาลเทียม เป็นน้ำตาลสังเคราะห์ที่มาทดแทนความหวานจากน้ำตาลแท้ แต่อย่าคิดว่าจะทดแทนกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะจริงๆ แล้วน้ำตาลเทียมหลายชนิดหวานมากและเข้มข้นกว่าน้ำตาลแท้เสียอีก ในแง่มุมของโภชนาการน้ำตาลเทียมให้พลังงานมากและไม่ทำให้อ้วนก็จริง ทว่ามันเป็นตัวสร้างความเคยชินบนเส้นทางสายหวานให้ยาวไกลไปอีกขั้น

 

5555

 

“หลายๆ คนจะวางใจว่า การกินน้ำอัดลมที่ใส่น้ำตาลเทียมจะไม่รู้สึกบาปไม่รู้สึกว่าอ้วน แต่อย่าลืมว่าน้ำตาลเทียมมันหวานจัดกว่าอีกนะ มันจะทำให้เราไขว่คว้าน้ำตาลแท้หรือของหวานอื่นที่หนักกว่าน้ำอัดลมมากิน เราไม่ได้ห้าม แต่ให้ตระหนักไว้ด้วยว่าน้ำตาลเทียมไม่ใช่ตัวที่ทดแทนน้ำตาลแท้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเราควรจะกินให้หลากหลาย”

อีกทางเลือกหนึ่งที่หมอต้นนายแพทย์หนุ่มแนะนำก็คือ การตัดหวานแบบธรรมชาติ พยายามบริโภคความหวานที่แปรรูปให้น้อยที่สุด หรือควรบริโภคแหล่งน้ำตาลที่ใกล้ต้นตอให้มากที่สุด เช่น ความหวานจากอ้อยและผลไม้อื่นๆ ซึ่งเป็นน้ำตาลที่อยู่ในรูปแบบของไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติช่วยคุมน้ำตาลได้ไม่ว่าจะจากเส้นใยอ้อยหรือเนื้อผลไม้ มันจะช่วยชะลอน้ำตาลที่จะซึมเข้าร่างกาย แต่เมื่อไรที่เรากินน้ำตาลไกลต้นตอ เช่น จากส้มที่นำมาคั้นเป็นน้ำหวาน ซึ่งมันทำให้เราติดหวาน ทั้งนี้หมอต้นไม่ได้ห้ามพวกน้ำหวานหรือน้ำผลไม้คั้น

เพียงถ้าคุณอยากลดหวานลงก็ควรที่จะกินพวกไฟเบอร์โดยตรงจากผลไม้สดควบคู่กับด้วย อย่างเช่นเมื่อความอยากของมันเอ่อล้นเรียกหาชานมไข่มุกสักแก้ว เราอาจต้องกินแก้วมังกรตามไปด้วย เพื่อให้กากใยจากผลไม้สดช่วยชะลอน้ำตาลจากชานมไข่มุกลงได้บ้าง

หรือถ้าปั่นน้ำผลไม้สดกินก็ขอสักนิดให้ใส่กากลงไปด้วย คุณหมอพูดอย่างติดตลกว่าเพระกากไม่ใช่เรื่องกากๆ

ถึงอย่างนั้นเราก็ยังมีอาหารเพิ่มความหวานนอกจากชานมไข่มุกที่กำลังเป็นเทรนด์ในตอนนี้แล้ว ยังมีเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ เช่น น้ำอัดลม ชา กาแฟ บิงซู ฮันนี่โทสต์ เค้ก ช็อกโกแลต ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง และที่คนมักจะไม่รู้ ก็คือเจ้าน้ำผลไม้กล่องหรือแม้แต่น้ำผลไม้คั้นสดก็ตาม มักคิดว่ามันมีสารพัดประโยชน์ แต่หากอ่านฉลากข้างกล่องดีๆ จะเห็นว่าน้ำผลไม้ก็มีน้ำตาลสูงไม่แพ้เครื่องดื่มประเภทอื่นๆ และยังมีปริมาณโซเดียมที่มากเช่นเดียวกัน

 

777

 

หมอต้นบอกว่า ยังมีน้ำตาลที่น่าห่วงอีกอย่างนั่นก็คือน้ำตาลที่เป็นการเติมเข้ามา หรือ added sugar เพื่อความกลมกล่อมของรสชาติมักพบเป็นน้ำตาลซูโครส และมักใช้เป็นส่วนผสมของชานมไข่มุก กาแฟ และอาหารต่างๆ ที่ถูกปรุงน้ำตาลเพิ่มเข้าไป ซึ่งในแต่ละวันเรากินน้ำตาลกันอยู่แล้ว เริ่มตั้งแต่ข้าวเพราะข้าวจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอีกที แต่สิ่งที่ทำให้คนเราอ้วนมากขึ้นก็คือน้ำตาลที่เติมเข้ามานี่เอง

แต่ความต้องการอยากหวานมักชนะอยู่เรื่อย เราจะมีวิธีเผาผลาญอย่างไรบ้าง ก่อนอื่นต้องมาดูว่าในเครื่องดื่มแต่ละชนิดมีพลังงานเท่าไรกัน อย่างชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว จะมีพลังงานอยู่ที่ 300-400 กิโลแคลอรี่ ดังนั้นเราต้องเบิร์นออกด้วยการวิ่งเป็นระยะทางราวๆ 4-5 กม.ได้น้ำอัดลมน้ำดำ 1 กระป๋อง ที่ให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี่ ก็ต้องวิ่งเผาผลาญราว 2 กม. กาแฟเย็น 1 แก้วให้พลังงานราว 115 กิโลแคลอรี่ ต้องวิ่ง 1.8 กม. หรือจะเป็นบลูเบอร์รีชีสเค้กสักชิ้น ก็ให้พลังงานถึง 300 กิโลแคลอรี่ ต้องวิ่งในระยะทาง กว่า 4 กม.ด้วยกัน

การจัดเก็บภาษีความหวาน จึงมีเป้าหมายเพื่อให้คนไทยบริโภคน้ำตาลน้อยลง ตามความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข

 

คลี่ปมภาษีน้ำตาล

ภาษีความหวานตัวใหม่หรือ ภาษีน้ำตาล ที่จะมีผลใช้ใน 1 ตุลาคมนี้ โดยกรมสรรพสามิตได้ปรับขึ้นราคาการจัดเก็บอีกเท่าตัว ส่งผลให้เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีเพิ่มเป็น 1 บาทต่อลิตร จากเดิม 50 สตางค์ คาดว่าจะจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มเพิ่มจาก 2,000 ล้านบาทเป็น 3,500 ล้านบาท เพื่อบีบให้ผู้ประกอบการลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มลงหรือลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมากเกินไป เนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในต่างประเทศทำกันมาก่อนหน้าแล้ว อย่างเม็กซิโก อังกฤษ อินเดีย

โดยองค์การอนามัยโลกหรือ WHO มีการสำรวจและทำรายงานไว้ว่า การเพิ่มภาษีน้ำตาล 10-20 เปอร์เซ็นต์ ช่วยลดยอดการซื้อลง คนลดการบริโภคลงจากเดิม เพราะไม่มีกำลังจ่าย จึงได้ผลกับกลุ่มที่มีรายได้ระดับที่น้อยหน่อย

อย่างนอร์เวย์ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ของโลกที่เก็บภาษีเครื่องดื่มส่วนผสมจากน้ำตาลมากว่า 97 ปี โดยจุดประสงค์หลักตอนนั้นเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐไม่ใช่เพื่อลดการบริโภคน้ำตาล แต่ปัจจุบันนอร์เวย์มีการบริโภคน้ำตาลต่ำกว่าหลายประเทศ มีเด็กเพียง 1 ใน 6 คนเท่านั้นที่น้ำหนักเกิน และอีกประเทศที่น่าสนใจอย่างอินเดียที่นอกจากจะจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากถึง 28 เปอร์เซ็นต์แล้ว ยังตั้งค่าธรรมเนียมชดเชยหรือที่เรียกกันว่า ‘ภาษีบาป’ แก่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อีก 12 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ผลิตหันไปใช้น้ำตาลจากผลไม้แทน แต่นั่นอาจทำให้เครื่องดื่มมีน้ำตาลสูงกว่าเดิม เนื่องจากผลไม้บางชนิดมีน้ำตาลที่สูงอยู่แล้ว

 

background-3797911

 

การปรับขึ้นภาษีน้ำตาลที่กรรมสรรพากรมองว่าเป็นหนึ่งมาตรการที่จะช่วยปรับพฤติกรรมการบริโภคหวานของคนไทยเพื่อให้หันมาบริโภคอาหารที่ดีมีประโยชน์กันมากขึ้น แต่นายแพทย์หนุ่มกลับมองเห็นว่าการปรับขึ้นยังดูไม่เป็นรูปธรรมนัก ยิ่งปรับขึ้นราคาในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง กลายเป็นข้อครหาว่า ภาษีความหวานนี้จะช่วยแก้ปัญหาสุขภาพหรือเพียงต้องการหารายได้เพิ่มเท่านั้น

“สิ่งที่ต้องคิดต่อและควรเพิ่มเติมก็คือภาษีหวานบาปอย่างในต่างประเทศ ซึ่งเขาไม่ได้มีเพียงการเก็บภาษีน้ำตาลอย่างเดียว แต่เขาเก็บภาษีพวกของว่างหวานๆ คุกกี้ และเบเกอรี่ต่างๆ ด้วย อย่างในอังกฤษ เขาถือว่ามันไม่ได้มีแค่โซดา น้ำอัดลม เขาเซอร์เวย์ดูแล้วว่ามันมีตัวอื่นด้วยที่มีปริมาณความหวานเกินพอดี และเขาเอาภาษีหวานบาปนี้ไปสนับสนุนการกินผักผลไม้ ลดราคาของกินที่มีประโยชน์ เป็นการนำกลับสู่ประชาชนอย่างแท้จริง ถ้ามองบ้านเราส่วนมากจะเน้นสร้างภาษี ยังไม่เห็นการส่งคืนให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นต้องตั้งธงด้วยว่าสุดท้ายแล้วจะนำเงินที่เก็บภาษีส่วนนี้ไปพัฒนาอะไรให้กับประชาชน เพราะไม่ใช่ว่าภาษีอย่างเดียวจะทำให้ลดหรือเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคได้” หมอต้นแสดงความเห็นอย่างน่าสนใจ

สุดท้ายแล้วภาษีน้ำตาลจะเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภคหรือเพิ่มทางเลือก เพื่อหาทางออกให้สุขภาพคนไทย ต้องรอติดตามกันต่อไป