อิสตันบูล รอยอดีตในโลกแห่งปัจจุบัน

เสน่ห์น่าหลงใหลของเรื่องราวในอดีตแห่งนครโบราณยังคงมีลมหายใจ
เมื่อเอ่ยถึงชื่อ นครอิสตันบูล (Istanbul) บางคนคงเข้าใจว่าเป็นเมืองหลวงของตุรกี แต่ไม่ใช่ครับ เพราะเมืองหลวงที่แท้จริงคือ ‘อังคารา’ (Ankara) ต่างหากล่ะ แต่ที่เรารู้จักอิสตันบูลมากกว่า เพราะมันเคยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโรมันตะวันออก ซึ่งทริปนี้เราจะนั่งแคปซูลเวลา ย้อนกลับไปสู่รอยอดีตที่ซ้อนทับอยู่กับโลกปัจจุบันอย่างแยกกันไม่ออกทีเดียว
ในสมัยโบราณอิสตันบูลเคยทำหน้าที่เมืองหลวงของตุรกี (สมัยโรมัน) นานกว่า 1,123 ปี กระทั่งอาณาจักรโรมันตะวันตก (กรุงโรม) ล่มสลาย แต่อาณาจักรโรมันตะวันออกก็ยังยืนหยัดมาได้อีกพันกว่าปี ต่อมาถูกพวกออตโตมันเติร์กและมุสลิมผลัดกันรุกราน จนกลายเป็นรัฐที่ปกครองโดยมุสลิมในที่สุด ความเจ๋งของอิสตันบูลก็คือเป็นเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่บน 2 ทวีป ทั้งเอเชียและยุโรป คือพื้นที่เมืองส่วนใหญ่ 97 เปอร์เซนต์ อยู่บนฝั่งเอเชีย (บนคาบสมุทรอนาโตเลีย) และอีก 3 เปอร์เซนต์ อยู่บนฝั่งทวีปยุโรป (ภูมิภาคเทรซ : Thrace) โดยมีช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) กั้นสองฝั่งไว้ การไปมาหาสู่ใช้วิธีข้ามเรือเฟอร์รี่ หรือนั่งรถข้ามสะพาน หรือลอดอุโมงค์ใต้ช่องแคบยาว 5 กิโลเมตร จนทำให้รู้สึกว่าแผ่นดินสองทวีปนี้ผสานเป็นเนื้อเดียวกัน
ผมบินตรงจากไทยไปอิสตันบูล ตระเวนเยือน Landmark สำคัญๆ จากสนามบินอัลตาเติร์ก (Atatürk Airport) ถนนเคเนดี้อเวนิว (Kennedy Avenue) เลาะเลียบชายฝั่งไปตามแนวกำแพงเมืองเก่า พอหิวก็แวะร้านอาหาร สั่งปลาเทราต์ย่างเกลือมาชิมให้มีแรงก่อนออกเที่ยวต่อ
วิหารฮาเกียโซเฟีย
จุดแรกคือ วิหารฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia หรือฮายาโซเฟีย) ที่สุดแห่งศาสนสถานในอิสตันบูล เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมของโลกยุคกลาง อีกทั้งยังเป็นต้นแบบของวิหารสไตล์ไบเซนไทน์ที่ดีที่สุดของโลก ด้วยขนาดอันมโหฬารจนต้องแหงนมองคอตั้งบ่า มีโดมครึ่งวงกลมสีเงินยวงอยู่สูงจากพื้นถึง 55.6 เมตร พร้อมด้วยหอขาน (เสามินาเร็ตยักษ์) อีก 4 ต้น ทำให้ฮาเกียโซเฟียน่าเกรงขาม ภายนอกวิหารอาจดูเรียบๆ แต่ภายในชวนให้ตะลึง เพราะแสงสลัวที่ลอดผ่านเข้ามาทำให้สีทองและสีน้ำเงินภายในโดมและฝาผนัง เรืองรองสุกปลั่ง อีกทั้งความสูงและโดมโค้งยิ่งช่วยเพิ่มความขรึมขลัง ผมเห็นภาพของศาสนาคริสต์และอักษรอิสลามอยู่คู่กัน เพราะเมื่อแรกสร้างเมื่อปี ค.ศ. 532 โดยกษัตริย์คอนสแตนติน ฮาเกียโซเฟียทำหน้าที่เป็นวิหารหลักในศาสนาคริสต์ของอาณาจักรไบเซนไทน์ แต่ภายหลังเมื่อออตโตมันเติร์กยึดเมืองได้ ก็เปลี่ยนฮาเกียโซเฟียเป็นสุเหร่ามาจนถึงปัจจุบัน
มัสยิดสีน้ำเงิน
เดินต่อจากฮาเกียโซเฟียไปแค่ไม่กี่อึดใจก็ถึง มัสยิดสีน้ำเงิน (Blue Mosque) หรือ ‘มัสยิดสุลต่านอาเหม็ด’ เป็น 1 ใน 3 มัสยิดที่มีหอขาน (เสามินาเร็ต : Minarets) มากถึง 6 ต้น เพราะทั่วไปมีแค่ 4 ต้น เล่ากันว่าตอนที่สุลต่านสั่งให้สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1616 สถาปนิกฟังคำสั่งผิด เพราะสุลต่านรับสั่งว่า “altın minareler” (เสามินาเร็ตทองคำ) แต่สถาปนิกฟังเป็น “altı minaret” (เสามินาเร็ตหกต้น) เมื่อสร้างเสร็จจึงมีจำนวนหอขานเท่ากับมัสยิดกะบะห์ในนครเมกกะ สุลต่านร้อนใจ ต้องรับสั่งให้สร้างมัสยิดเพิ่มอีกแห่งที่เมกกะ โดยมีเสามินาเร็ตเพิ่มเป็น 7 ต้น
มัสยิดสีน้ำเงินในวันนี้มีชีวิตชีวามาก เพราะมีอิสลามิกชนนับหมื่นหลั่งไหลเข้ามาสวดมนต์ ส่วนด้านในก็อลังการด้วยโดมกลางสูงถึง 43 เมตร ล้อมด้วยโดมเล็กอีกนับสิบที่มีหลังคาสีฟ้าอ่อน ภายในวิจิตรด้วยกระเบื้องอิชนิค (Iznik) เพนท์สีฟ้าสไตล์อนาโตเลีย กว่า 20,000 แผ่น เป็นลายดอกทิวลิป และเถาไม้เลื้อยอ่อนช้อย โดยสถาปนิกรังสรรค์ลายดอกทิวลิปไว้มากกว่า 50 แบบ ไม่ซ้ำกันเลย
อ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตัน
ไม่ห่างจากมัสยิดสีน้ำเงินเป็นที่ตั้งของ อ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตัน (Yerebatan Sarnici หรือ The Basilica Cistern) เก่าแก่กว่า 1,485 ปี อ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตันอยู่ลึกใต้ดินหลายสิบเมตร เคยใช้เก็บน้ำมากถึง 100,000 ตัน โดยผันน้ำมาจากป่าเบลเกรด อ่างเก็บน้ำนี้ไม่ธรรมดา เพราะมีเสาโรมัน 336 ต้น สูงต้นละ 9 เมตร แกะสลักหัวเสาสไตล์คอรินเทียนใช้รับน้ำหนักหลังคาอุโมงค์ จุดที่ห้ามพลาดชม คือ เสาดวงตาปีศาจ (Evil Eyes) และเสาอีกสองต้นที่ส่วนในสุด คือ เสาเมดูซ่า ที่มีเส้นผมเป็นงู เสาต้นแรกสร้างเป็นเมดูซ่ากลับหัว อีกต้นหน้าเมดูซ่าตะแคงขวา เพื่อแก้เคล็ดไม่ให้คนที่พบเห็นกลายเป็นหินตามตำนานความเชื่อโบราณ
เสาเมดูซ่า
ฮิปโปโดม
จากเยเรบาตันเดินไปไม่ไกลก็ถึง ฮิปโปโดม (Hippodome of Constantinople) ซึ่งเคยใช้เป็นสนามแข่งรถม้าศึก เล่ากันว่าในการแข่งรถม้าศึกจะแบ่งเป็น 4 ทีมเหมือนเล่นกีฬาสี คือ สีน้ำเงิน เขียว แดง และขาว โดยทีมสีน้ำเงินและเขียวเก่งสุด (กษัตริย์จัสติเนียนที่ 1 สนับสนุนทีมสีน้ำเงิน) ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 532 การแข่งรถม้าศึกก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือการเมือง เมื่อนักการเมืองผู้สนับสนุนทีมต่างๆ ยุแยงว่ากษัตริย์จัสติเนียนไม่ควรได้เป็นกษัตริย์ จึงเกิดจลาจลโดยนักแข่งทีมต่อต้านเรียกว่า ‘กบฐนิก้า’ (Nika Riots) จบลงด้วยการสังหารหมู่ผู้ลุกฮือกว่า 30,000 คน ในฮิปโปโดม!
น้ำพุเยอรมัน
ฮิปโปโดมสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 203 ผังเดิมเป็นสนามกีฬารูปวงรียาวกว่า 1 กิโลเมตร รอบด้านเป็นอัฒจันทร์สูงใหญ่ แต่ปัจจุบันไม่เหลือสิ่งเหล่านี้แล้ว เพราะแปรสภาพเป็นสวนสาธารณะ สิ่งโบราณเดิมแท้ที่เหลืออยู่คือ เสา 3 ต้นกลางสนาม ต้นแรกถูกย้ายมาจากวิหารลักซอร์ที่เมืองคานัคในอียิปต์ ต้นที่สองย้ายมาจากวิหารอพอลโลในกรีซ และต้นสุดท้ายสร้างโดยกษัตริย์คอนสแตนตินที่ 7 นอกจากนี้ ปลายด้านทิศเหนือยังมี น้ำพุเยอรมัน (The German Fountain) สร้างเพื่อรำลึกถึงการเสด็จเยือนอิสตันบูลของกษัตริย์วิลเฮมที่ 1 แห่งเยอรมนี เมื่อปี ค.ศ. 1898 เป็นน้ำพุทรง 8 เหลี่ยมสไตล์นีโอ-ไบเซนไทน์ ถือเป็นหนึ่งใน Landmark สำคัญของอิสตันบูลเลยเชียว
พระราชวังทอปกาปึ
สถานที่สุดท้ายซึ่งผมไปเยือน คือ พระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) หลังจากอาณาจักรโรมันตะวันออกล่มสลาย เมื่อทหารออตโตมันเข้ายึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ เมื่อ ค.ศ. 1453 สุลต่านเมห์เมดก็มีดำรัสให้สร้างพระราชวังทอปกาปึ เพื่อใช้เป็นที่ประทับและออกว่าราชการ โดยสร้างด้วยสถาปัตยกรรมออตโตมันเติร์กและบาโรกของยุโรป เมื่อเดินเข้าไปส่วนแรกจะพบสวนกุหลาบ สนามหญ้าและทิวไม้ร่มรื่น เสน่ห์ของพระราชวังอยู่ที่หินอ่อนสีขาว กระเบื้องเคลือบอิชนิคที่ช่างท้องถิ่นชำนาญ ประดับเป็นลายทั้งบนพื้น ผนัง และเพดาน ทำให้พระราชวังดูวิจิตรทุกซอกมุม และเมื่อเดินเข้าไปถึงส่วนในสุดก็จะถึงหน้าผาชมวิวทะเลมามาร่า (Mamara Sea) มองเห็นผืนน้ำสีครามของช่องแคบบอสฟอรัสได้แบบพาโนรามา
เวลาแห่งความสุขในอิสตันบูลผ่านไปอย่างรวดเร็ว คล้ายผมถูกอดีตกลืนกินไปจนแยกตัวไม่ออก ในขณะที่โลกปัจจุบันยังคงหมุนไป เรื่องราวอดีตในนครโบราณแห่งนี้ก็ยังคงมีลมหายใจ เล่าขานตัวเองอย่างเงียบเชียบ และมีเสน่ห์น่าหลงใหลซะจริงๆ




