ไทยเตรียมนำเข้า "วัคซีนป้องกันฝีดาษลิง"

ไทยเตรียมนำเข้า "วัคซีนป้องกันฝีดาษลิง"

ฝีดาษลิงในไทย ยังไม่พบผู้ป่วยเพิ่ม มาตรการเฝ้าระวังเพียงพอ ยังไม่ต้องปรับเพิ่ม เน้น 3 กลยุทธ์หลัก  ชี้สถานการณ์ในไทยต่างจากอเมริกา หลังบางรัฐประกาศภาวะฉุกเฉิน ไทยเตรียมนำเข้าวัคซีนรุ่น 3  ล็อตแรกราว 1,000 โดส 

        เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข  ในการแถลงข่าวสถานการณ์ฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง  นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า  ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค.2565 ทั่วโลกมีผู้ป่วย ยืนยัน 22,812 ราย ใน 75 ประเทศ เสียชีวิต  3 ราย  ที่ประเทศสเปน  2 ราย  บราซิล  1 ราย   แนวโน้มทั่วโลกขาขึ้น สูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรปหลายประเทศ ส่วนประเทศแถบเอเชียเริ่มพบหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ป่น ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนเดินทางจากต่างประเทศ แต่เริ่มมีแนวโน้มติดในประเทศ เช่น สิงค์โปร์มีผู้ป่วยมากกว่า 10 ราย  ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เสียชีวิต แม้ความรุนแรงของโรคต่ำเมื่อเทียบกับโควิด 19  โดยพบว่ามีภาวะแทรกซ้อนสมองอักเสบ และมะเร็งร่วมด้วย

 

        ส่วนประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยยืนยัน  2 ราย   ยังไม่พบผู้ป่วยเพิ่มเติม โดยกรณีรายแรกที่เป็นชายชาวไนจีเรีย หลังมีการติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง กับค้นหาเชิงรุกในภูเก็ตจากประวัติที่ได้ ทำมา 1-2 สัปดาห์ พบเสี่ยงคัดกรอง 50 กว่าราย ไม่พบผู้ป่วยใหม่ในพื้นที่ และมีระบบเฝ้าระวังต่อเนื่อง ยืนยันว่าฝีดาษวานรไม่ได้ติดต่อง่าย ต้องสัมผัสใกล้ชิด โดยเฉพาะเพศสัมพันธ์คือการสัมผัสใกล้ชิดเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ และกรณีรายที่ 2 ชายไทย มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดชายต่างประเทศ มีผู้สัมผัสร่วมบ้าน 18 คน ทุกคนผลตรวจเป็นลบ แต่กคุมไว้สังเกตอาการจนครบ 21 วัน  

        นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า กลยุทธ์ 3 ด้าน เพื่อการป้องกันควบคุมโรคฝีดาษวานรของประเทศไทย คือ 1.Prevent ใช้การป้องกัน คัดกรองคนเดินทางต่างประเทศ ระบุกลุ่มเสี่ยงกลุ่มไหน เน้นสื่อสาร ลดโอกาสเสี่ยง/ร่วมกิจกรรมเสี่ยง ทั้งในและต่างประเทศ เลี่ยงใกล้ชิดผู้ป่วย/กิจกรรมเสี่ยง เพิ่มการรับรู้พฤติกรรมเสี่ยง  ซึ่งเพศสัมพันธ์สัมผัสใกล้ชิดก็เสี่ยง WHO ระบุว่า ชายรักชายมีความเสี่ยงติดเชื้อสูงสุดและจำกัด ป้องกันแพร่ระบาดวงกว้าง

     2.Detect  การเฝ้าระวังในสถานพยาบาล หากมีป่วยตุ่มฝู้ป่วยหนองต้องตรวจห้องปฏิบัติการ และ3.Respond ถ้าเจอผู้ป่วยจะมีการระบุไทม์ไลน์ ค้นหาผู้ป่วยความเสี่ยง ควบคุมกลุ่มเสี่ยงไม่ให้แพร่กระจายเชื้อต่อไป ที่ผ่านมาสามารถค้นหาแหล่งโรคแบละป้องกันไม่ให้กระจายวงกว้าง

       “มาตรการโควิด19 เนื่องจากโรคมีการติดต่อง่าย รุนแรงสูง มาตรการใช้ค่อนเข้างเข้มงวดเคร่งครัด มาตรการทางกฎหมาย มาตรการสังคมมีมาก แต่ฝีดาษลิงไม่รุนแรงมาก ติตต่อยาก กลุ่มเสี่ยงเป็นเป้าหมายเฉพาะ ดังนั้น มาตรการที่ดำเนินอยู่ขณะนี้ น่าจะเพียงพอในการเฝ้าระวัง แต่มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งสถานการณ์ในไทยพบผู้ป่วยยืนยันเพียง 2 ราย  ต่างจากบางรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน  ที่ทั้งประเทศมีการรายงานผู้ป่วยยืนยันแล้วกว่า 5,000 ราย”นพ.โอภาสกล่าว

    นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า  สำหรับวัคซีนฝีดาษวานรนั้น ต้องย้ำว่าโรคนี้ไม่ได้รุนแรง ไม่ได้ติดต่อง่าย ซึ่งโรคจะต่างกับโควิด19 จึงไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้กับคนไทยทุกคน  แต่ต้องเลือกกลุ่มที่มีความเหมาะสม โดยการจะฉีดวัคซีนต้องคำนึง 4 ปัจจัย คือ 1.ประสิทธิภาพ 2.ผลข้างเคียง  3.สถานการณ์การระบาดของโรค และ4.ความเป็นไปได้ของการจัดบริการ  ขณะนี้กำลังจัดหาวัคซีนรุ่นที่ 3  โดยให้องค์การเภสัชกรรม(อภ.) เป็นผู้ประสานเข้ามาอย่างช้าน่าจะช่วงครึ่งเดือนหลัง ส.ค.นี้  เบื้องต้น 1,000โดส โดยฉีดคนละ 2 โดส ส่วนรายละเอียดการฉีดเว้นห่างเท่าไหร่ และจะเลือกกลุ่มใดในการฉีดนั้นจะมีคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคฯ พิจารณาความเหมาะสมต่อไป