“ไวรัสตับอักเสบ" เกิดจากอะไร ป้องกันได้หรือไม่

“ไวรัสตับอักเสบ" เกิดจากอะไร ป้องกันได้หรือไม่

"ไวรัสตับอักเสบ" ถือเป็นโรคที่เป็นปัญหาด้านสาธาณสุขทั่วโลก โดย กระทรวงสาธารณสุข มีการตั้งเป้า กําจัดโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ภายในปี 2573 โดยเฉพาะ "โรคไวรัสตับอักเสบบี" ที่รักษาได้แต่ไม่หายขาด แต่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โรคไวรัสตับอักเสบ ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั้งในประเทศไทยและในระดับนานาชาติ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศในที่ประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลก ให้ประเทศสมาชิกดำเนินการควบคุมป้องกัน โรคไวรัสตับอักเสบอย่างบูรณาการ และจัดทำแผนยุทธศาสตร์เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาโรค ไวรัสตับอักเสบ อย่างเป็นรูปธรรม

 

ทำความรู้จัก โรคไวรัสตับอักเสบ 

 

สำหรับ โรคไวรัสตับอักเสบ มีด้วยกันหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ , บี , ซี , ดี, อี เป็นต้น ข้อมูลจาก โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา ระบุว่า เมื่อติดเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ตับจะก่อให้เกิดภาวะตับอักเสบ ส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ มีอาการตับบวมโต อ่อนเพลีย ซึ่งไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยและเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขประเทศไทย ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี และ ไวรัสตับอักเสบซี

ร่างกายรับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ได้อย่างไร

 

- จากกลุ่มผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกายแต่ไม่แสดงอาการ สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ เรียกว่า พาหะ (Carrier) ซึ่งพาหะมักเป็นได้กับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี เท่านั้น

- ไวรัสตับอักเสบเอ และ อี ติดต่อทางอาหาร น้ำดื่ม การสัมผัสอุจจาระ ฉะนั้นการป้องกันควรดื่มน้ำต้มสุก อาหารปรุงสุก ล้างมือให้สะอาด ผักผลไม้ล้างให้สะอาด ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอี ส่วนไวรัสตับอักเสบเอมีวัคซีนป้องกัน ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

- ไวรัสตับอักเสบบี และ ซี แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้โดยทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือด เช่น เจ้าหน้าที่พยาบาลถูกเข็มฉีดยาที่มีเชื้อไวรัสตำมือ ผู้ที่ติดยาเสพติดแล้วใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เป็นต้น

- การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกสำหรับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีโอกาสสูงมาก แต่ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ฉีดให้ทารกหลังคลอดทุกราย ทำให้ป้องกันการติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ดีมาก

 

อาการเป็นอย่างไร

 

ไม่ว่าจะเกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดไหน จะมีอาการคล้ายกัน แต่น้อยหรือมากขึ้นอยู่กับปริมาณของเชื้อไวรัสที่ร่างกายได้รับ และสภาพร่างกายดั้งเดิมของผู้ป่วย ซึ่งอาการโดยมากที่พบ ได้แก่

  • อาการอ่อนเพลีย
  • จุกแน่นใต้ชายโครงขวา
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ปวดตามข้อ
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน
  • เบื่ออาหาร
  • ท้องเสีย
  • ปัสสาวะสีเข้ม
  • ตัวเหลือง
  • ตาเหลือง
  • ประมาณ 1 – 4 สัปดาห์ อาการตัวเหลือง ตาเหลืองจะหายไป

ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง "บี และ ซี" 

 

เชื้อไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง มี 2 ชนิด คือ เชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี มักไม่แสดงอาการ บางรายอาจรู้สึกอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนบ้างในช่วงที่มีภาวะตับอักเสบ การติดเชื้อไวรัสจะทำให้เกิดการทำลายของเซลล์ตับทีละน้อยจนเกิดภาวะตับแข็งและเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็ง

 

สามารถตรวจดูการอักเสบของตับได้จากการตรวจเลือด อาการตับแข็งและมะเร็งตับ ในระยะแรกไม่มีอาการแต่อาจมีอาการเพลียบ้าง มักมาพบแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อน เช่น ท้องบวม เท้าบวม อาเจียนเป็นเลือด ตัวตาเหลือง

 

ติดเชื้อแล้ว...ต้องรีบรักษา

 

- ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ชนิดเฉียบพลัน และอี ส่วนใหญ่ แพทย์จะรักษาแบบประคับประคองรักษาตามอาการ เน้นการรักษาเพื่อลดการอักเสบของตับ เช่น รับประทานอาหารได้น้อย อ่อนเพลียอาจจะให้น้ำเกลือ

- แนะนำการปฏิบัติตัว ได้แก่ การพักผ่อนมากๆในช่วงที่มีอาการอ่อนเพลีย สามารถทำกิจกรรมที่ไม่ต้องออกแรงมาก การรับประทานอาหารอย่างพอเพียง หลีกเลี่ยง อาหารไขมันสูง งดแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงยาพาราเซตามอล

- การตรวจ ติดตามผลเลือดเป็นระยะเพื่อดูการทำงานของตับว่าดีขึ้นหรือไม่

 

ทั่วโลก ป่วยไวรัสตับอักเสบบี 257 ล้านคน และ ซี 71 ล้านคน

 

จากข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก ในปี 2563 พบผู้ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี เรื้อรัง ทั่วโลก ประมาณ 257 ล้านคน และผู้ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบชี เรื้อรังทั่วโลก ประมาณ 71 ล้านคน

 

ขณะที่ประเทศไทยคาดประมาณผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง ประมาณ 2.2 - 3 ล้านคน และผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ประมาณ 8 แสนคน พบมากในประชาชนอายุ 30 ปี ขึ้นไป และพบอัตราการเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 

ซึ่ง โรคไวรัสตับอักเสบบี มีวัคซีนในการป้องกัน สามารถรักษาได้แต่ไม่หายขาด ส่วนโรคไวรัสตับอักเสบซี ไม่มีวัคซีนในการป้องกัน แต่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการทานยาต้านไวรัสให้ครบ 12 สัปดาห์ โดยเป้าหมายของ กระทรวงสาธารณสุข คือ กําจัดโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ภายในปี 2573

 

ไวรัสตับอักเสบบี

  • มีวัคซีนในการป้องกัน สามารถรักษาได้แต่ไม่หายขาด
  • หญิงตั้งครรภ์ ควรฝากครรภ์โดยเร็ว (อายุครรภ์ 12 สัปดาห์) จะทำให้สามารถลดการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ปัจจุบันได้มีการบรรจุวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนของประเทศไทย ทำให้เด็กแรกเกิดทุกคนได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
  • ประชาชนที่เกิดก่อนปี 2535 และผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ควรตรวจหาภูมิคุ้มกันโรคไวรัสตับอักเสบ
  • ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี ให้ครบชุด จำนวน 3 เข็ม

 

ไวรัสตับอักเสบซี

  • ไม่มีวัคซีนในการป้องกัน แต่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการทานยาต้านไวรัสให้ครบ 12 สัปดาห์
  • หากมีความเสี่ยง หรือพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชี ควรเข้ารับบริการตรวจคัดกรองและรักษาโดยเร็ว
  • ปัจจุบัน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สนับสนุนการตรวจคัดกรอง การตรวจยืนยันโรคไวรัสตับอักเสบซี ในกลุ่มผู้มีเชื้อเอชไอวี/เอดส์และผู้ใช้สารเสพติดโดยวิธีฉีดได้ฟรี
  • ประชาชนที่มีความเสี่ยง ประเมินตนเองแล้วว่ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวร้สตับอักเสบซี ให้เข้ารับบริการตรวจคัดกรอง และรักษาโดยเร็ว เพื่อป้องกันกันการเกิดโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ ลดการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอันเนื่องมาจากโรคไวรัสตับอักเสบซีได้

 

ส่งเสริมเด็ก ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

 

ทั้งนี้ เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบี ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน กรมควบคุมโรค มีการส่งเสริมให้ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ควรตรวจหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีก่อน และหากไม่มีภูมิคุ้มกัน ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีให้ครบชุด จำนวน 3 เข็ม ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้เด็กทุกคนได้รับวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีให้ครบตามเกณฑ์ตารางการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในเด็กตามนัด

 

ป้องกันความเสี่ยง ไวรัสตับอักเสบบี

 

สำหรับวิธีป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับทุกคน ทุกช่องทาง สำหรับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรงดบริจาคเลือด หากต้องรับการผ่าตัด ทำฟัน หรือมีการตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้ง และหลีกเลี่ยง ปัจจัยเสี่ยง เพื่อนำไปสู่การกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบบี ภายในปี 2573

 

ทั้งนี้ โรคไวรัสตับอักเสบบี สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี และรักษาได้ด้วยการรับประทานยาต้านไวรัส เพื่อควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกาย ลดภาวะการเกิดพังผืดของตับ ชะลอการเกิดตับแข็ง และลดการเกิดมะเร็งตับ แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 

 

ดังนั้น กรมควบคุมโรค จึงเร่งส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของ โรคไวรัสตับอักสบบี สามารถประเมินความเสี่ยงของตนเองและคนรอบข้าง หากมีพฤติกรรมเสี่ยงให้เข้ารับบริการตรวจคัดกรองและการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีโดยเร็ว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โทร.0 2590 3216 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

 

“ไวรัสตับอักเสบ\" เกิดจากอะไร ป้องกันได้หรือไม่

 

อ้างอิง : โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา , กรมควบคุมโรค