รับสร้างบ้านปรับกลยุทธ์รับเทรนด์ ‘Super-Aged Society’

พีดีเฮ้าส์ ปรับกลยุทธ์รับเทรนด์ ‘Super-Aged Society’ลุยฟื้นเชื่อมั่นตลาดรับสร้างบ้าน หลังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง กำลังซื้อที่หดตัว รวมทั้งสังคมผู้สูงอายุ
ภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 2568 เผชิญความท้าทายอย่างหนัก คาดการเติบโตจะชะงัก! หรือ ติดลบ จากปัจจัยเสี่ยงรอบทิศทาง โดยเฉพาะความเชื่อมั่นที่พังทลายจากกรณีบริษัทรับสร้างบ้านทิ้งงานที่มีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง กำลังซื้อที่หดตัว รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ “Super-Aged Society” หรือสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์
จิราภา สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และกลุ่มบริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด กล่าวว่า ตลาดรับสร้างบ้านไตรมาสสุดท้ายกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักจากหลายปัจจัยลบ โดยเฉพาะปัญหาความเชื่อมั่นจากกระแสข่าวปัญหาบริษัทรับสร้างบ้านทิ้งงาน! ส่งผลให้ผู้บริโภคสูญเสียความไว้วางใจต่ออุตสาหกรรม และชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน ประกอบกับความไม่มั่นคงทางการเมือง ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ตลาดรวมรับสร้างบ้านที่คาดว่าจะเติบโตอาจ “ติดลบ” หรือ “ชะงักการเติบโต” ในช่วงที่เหลือของปีนี้
“ในยุคที่ตลาดรับสร้างบ้านกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค ต้องสร้างความแตกต่างด้วยความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และมาตรฐานที่เข้มงวด จะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน"
ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทาย พีดีเฮ้าส์ มองเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความแตกต่างและฟื้นฟูความเชื่อมั่น โดยผู้ประกอบการรับสร้างบ้านมืออาชีพ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน จากเน้นแข่งขันด้านราคา และไร้ทิศทาง ต้องสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้ผู้บริโภค เน้นความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และมาตรฐานที่เข้มงวด เพื่อสร้างความมั่นใจและแตกต่างจากผู้ประกอบการที่ขาดความรับผิดชอบ
ทั้งนี้ อนาคตของธุรกิจรับสร้างบ้านไม่ได้อยู่ที่แค่การสร้างบ้านให้เสร็จ แต่คือการสร้างบ้านที่มอบ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” และตอบโจทย์ชีวิตในระยะยาว ยิ่งสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “ที่อยู่อาศัย” จึงไม่ใช่เพียงแค่ “ที่อยู่” อีกต่อไป แต่ต้องเป็นพื้นที่แห่งความสุข ความปลอดภัย และสุขภาวะที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับ พีดีเฮ้าส์ วางกลยุทธ์ 4 แกนหลักมุ่งเน้นคุณภาพชีวิตและความยั่งยืน ได้แก่ บ้านประหยัดพลังงาน (Energy-Saving Home) มุ่งเป้า "ผู้นำ" สร้างบ้านประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม สอดรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
บ้านสุขภาพ (Wellness Home) ผ่านเทคโนโลยี PD Fresh Airflow ตอบโจทย์เทรนด์บ้านเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่หลังสถานการณ์โรคระบาด บ้านสำหรับผู้สูงอายุและทุกเจเนอเรชัน (Universal Design) ออกแบบตามแนวคิด Universal Design หรือการออกแบบเพื่อทุกคน ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยสูงสุด ความยืดหยุ่นของพื้นที่ ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการในอนาคต รองรับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงวัย และสนับสนุนการอยู่อาศัยอย่างอิสระ(Aging in Place)
และ นวัตกรรมการก่อสร้างและความโปร่งใส (Construction Innovation & Transparency) ใช้ระบบ Multi-Joint Lock System เพิ่มประสิทธิภาพ ควบคุมคุณภาพได้ดีกว่า และลดระยะเวลาก่อสร้าง รวมถึงเทคโนโลยี Bubble Deck จากเดนมาร์กช่วยลดการใช้คอนกรีตและเป็นฉนวนกันความร้อน
"ขาดไม่ได้ ระบบการบริหารจัดการเงินงวดที่โปร่งใส สัญญาที่เป็นธรรม การรับประกันคุณภาพที่ชัดเจน และการบริการครบวงจร ตั้งแต่การขอสินเชื่อ การขออนุญาตก่อสร้าง ออกแบบและตกแต่งภายใน ออกแบบและจัดสวน บริการหลังการขาย ที่ดูแลซ่อมบำรุงบ้าน ตามระยะเวลารับประกัน 1-2 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจและแตกต่างจากผู้รับเหมาที่ขาดความรับผิดชอบ"
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้าน ตลาดหลักยังคงเป็นกลุ่มผู้มีความต้องการสร้างบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) โดยเฉพาะบ้านกลุ่มราคา 4-10 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนมากสุดช่วยขับเคลื่อนตลาด ส่วนบ้านราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป ดีมานด์ค่อนข้างคงตัว ผู้ซื้อกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไม่มากนัก ขณะที่บ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบและเศรษฐกิจหดตัว
สำหรับตลาดรับสร้างบ้านที่มีบริการรองรับผู้สูงอายุ แม้เป็นตลาดเฉพาะ (niche market) มาร์เก็ตแชร์ 7-10% มีมูลค่า 1,000-1,500 ล้านบาท แต่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว ตามจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความตระหนักของครอบครัวรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุมากขึ้น
โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 28-30% ของประชากรทั้งหมดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า







