บี ทิพพาภรณ์ ลูกสาวเจ้าสัวซีพีลุยธุรกิจลักชัวรีซีเนียร์ลิฟวิ่ง

เปิดแนวคิด'ทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์'ลูกสาวเจ้าสัวซีพีผุด“ดิ แอสเพน ทรี”ซีเนียร์ลิฟฟวิ่งราคา3.6แสนบาท/ตร.มหวังขยายผลสู่ระดับกลาง -ล่างและธุรกิจเพื่อสังคมใน10ปี
KEY
POINTS
- ทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ลูกสาวคนเล็กของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เปิดตัวโครงการ "ดิ แอสเพน ทรี" ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัยระดับลักชัวรี ภายใต้โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์
- ชูแนวคิด "Aging-in-Place" ร่วมกับ Baycrest จากแคนาดา เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพและสมองแบบองค์รวม
- มีที่พักอาศัย 290 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 360,000 บาทต่อตารางเมตร และมีทางเลือกให้เช่าระยะยาว
- หวังสร้างต้นแบบที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัยที่สามารถขยายผลสู่ระดับกลางและล่างในรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)
นางทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ผู้ก่อตั้ง MQDC และโครงการดิ แอสเพน ทรี ลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เผยที่มาของโครงการ ดิ แอสเพน ทรีล ว่า 30 ปีก่อน เริ่มต้นเส้นทางสายสังคมจากการดูแลเด็กกำพร้า ภายใต้มูลนิธิพุทธรักษา ได้จุดประกายแรกของแนวคิดที่มุ่งสร้างพื้นที่ที่เติมเต็มความรัก ความอบอุ่น และความเข้าใจให้กับผู้ที่ขาดโอกาสในชีวิต แต่ยิ่งลงลึก เธอยิ่งตระหนักว่า “ความรัก” ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ด้วยปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว หากต้องการสร้างชุมชนที่ตอบโจทย์ทั้งเด็กและผู้สูงวัย ต้องมีระบบที่รองรับ “ชีวิต” ทั้งหมด ไม่ใช่เพียง “การอยู่รอด”
จาก ‘บ้านบุญธรรม’ สู่ธุรกิจเพื่อสังคมที่ยั่งยืน
ด้วยแนวคิดสร้างหมู่บ้านที่เด็กและผู้สูงอายุอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพ ช่วงปี 2551 โครงการประกวดโมเดลธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ในชื่อ “บ้านบุญธรรม” ถือกำเนิดขึ้น แม้จะยังไม่พร้อมในเวลานั้น แต่กลายเป็นต้นแบบทางความคิดที่ทิพพาภรณ์ตั้งใจจะต่อยอดให้สำเร็จในรูปแบบธุรกิจที่มี “ระบบและความยั่งยืน”
“เราพบว่าการดูแลผู้สูงวัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด และต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางอย่างลึกซึ้ง”
นี่จึงนำไปสู่การตั้งต้น “ดิ แอสเพน ทรี” ภายใต้โครงการ The Forestias เมืองต้นแบบบนถนนบางนา-ตราด ที่ผสานชีวิตเข้ากับธรรมชาติ ภายใต้แนวคิด “เมืองในป่า ป่าในเมือง” ครอบคลุมพื้นที่ 398 ไร่ โดย “ดิ แอสเพน ทรี” ตั้งอยู่ในพื้นที่ 23 ไร่ กับเพียง 290 ยูนิต เพื่อรองรับผู้สูงวัยที่ถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด Aging-in-Place ที่เปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยใช้ชีวิตในบ้านของตัวเองได้อย่างอิสระ ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตดีต่อเนื่อง
แนวคิดนี้เกิดจากความเข้าใจลึกซึ้งในพฤติกรรมของผู้สูงวัย ที่ไม่ต้องการถูกแยกจากครอบครัวหรือวิถีชีวิตเดิม ๆ แต่ยังต้องการระบบดูแลที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวะสุขภาพของตนเองในอนาคต
ยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพระดับโลก
เพื่อวางรากฐานด้านการแพทย์และสุขภาพอย่างจริงจัง โครงการได้จับมือกับ Baycrest Global Solutions องค์กรชั้นนำจากแคนาดาที่มีประสบการณ์ด้านสุขภาพผู้สูงวัยกว่า 105 ปีโดยได้นำองค์ความรู้จากการวิจัยด้านสมองและการดูแลวัยเกษียณเข้าสู่ระบบบริการครบวงจรของโครงการ ทั้งในด้านที่พักอาศัย Wellness Center และ Health & Brain Center ซึ่งเป็นหัวใจของการดูแลแบบองค์รวม
หนึ่งในจุดเด่นของ “ดิ แอสเพน ทรี” คือการพัฒนาแนวคิด “ศาสตร์แห่งความสุขเชิงวิทยาศาสตร์” หรือ Happiness Science Hub ซึ่งมุ่งศึกษาเชิงลึกถึงการทำงานของสมอง และปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสุขอย่างยั่งยืน ผ่านการทดสอบโดยเครื่องมือ Cogniciti และการวิจัยร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก
พญ.อุไรรัตน์ ศิริวัฒน์เวชกุล ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดิ แอสเพน ทรี กล่าวว่า เราไม่ได้รักษาแค่ร่างกาย แต่ดูแลจิตใจ และสร้างความหมายของการมีชีวิต นอกจากสุขภาพ โครงการยังเน้นการออกแบบที่ตอบโจทย์วัยอิสระ ภายใต้แนวคิด Universal Design และ Aging-in-Place เช่น พื้นไร้ระดับ วัสดุป้องกันการลื่น ระบบเซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหว ระบบแสงอัตโนมัติ ไปจนถึงปุ่มฉุกเฉินที่เข้าถึงได้ง่าย
ปัจจุบัน HBC มีศูนย์ดูแลผู้สูงวัย แบบเช้าไป-เย็นกลับ (Aspen Day Center) ให้การดูแลด้านสุขภาพ ส่งเสริมกิจกรรมทางกาย กิจกรรมฝึกสมอง กิจกรรมสันทนาการ กิจกรรมทางสังคมโดยทีมผู้เชี่ยวชาญทั้งแพทย์ พยาบาล โภชนากร นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด นักนันทนาการบำบัด และ Care Angels เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่ผู้สูงวัย ช่วยดูแลผู้สูงอายุในช่วงที่บุตรหลานต้องไปทำงาน ทำให้บุตรหลานคลายกังวล และผู้สูงวัย มีความสุขที่ได้อยู่ในความดูแลของศูนย์
นางสาวนบเกล้า ตระกูลปาน ผู้อำนวยการบริหาร ดิ แอสเพน ทรี กล่าวว่า ปัจจุบันพักอาศัยแบ่งเป็น 2 แบบ คือ Active Living Condominiums ขนาด 82–120 ตร.ม. จำนวน 250 ยูนิต และ Sky Villa Residences ขนาด 183–201 ตร.ม. จำนวน 40 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 360,000 บาท/ตร.ม. และมีทางเลือกแบบเช่าระยะยาว เริ่มต้นเดือนละ 167,000 บาท รองรับลูกค้าทั้งที่ต้องการถือกรรมสิทธิ์หรือเช่าพักระยะยาว
"จากเดิมทีโครงการเป็นโมเดลแบบ Life Time Care ล่าสุดได้มีการปรับรูปแบบตามความต้องการของตลาด เช่น ลูกค้าบางท่านต้องการถือกรรมสิทธิ์ บางท่านต้องการเช่าระยะยาว ทำให้เกิดรูปแบบอาคารชุดใหม่ "
แม้ “ดิ แอสเพน ทรี” จะดูเป็นโครงการเพื่อกลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี แต่หัวใจของโครงการกลับมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่กว่านั้น คือการสร้างต้นแบบที่ขยายผลสู่ระดับกลางและล่าง และสุดท้าย กลับมาสู่แนวคิดแรกเริ่มของ “บ้านบุญธรรม” – หมู่บ้านที่เด็กและผู้สูงวัยอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพในฐานะ Social Enterprise ที่แท้จริงภายในระยะเวลา 10ปี







