ตราเพชร ผุดโรงงานใหม่ดันกำลังผลิตอิฐมวลเบาทะลุ 8.7 ล้าน ตร.ม.

ตราเพชร ลงทุนขยายกำลังผลิตอิฐมวลเบา ด้วยโรงงานแห่งที่ 2 ในสระบุรี ใช้เทคโนโลยีใหม่ลดต้นทุน-รักษ์โลก พร้อมเสริมความสามารถแข่งขันในตลาดเมกะโปรเจกต์รัฐและเอกชน
ในยุคที่อุตสาหกรรมก่อสร้างยังคงเป็นหนึ่งในฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจไทย บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT กำลังขยับตัวครั้งสำคัญอีกครั้ง ด้วยการเปิดเดินเครื่องจักร โรงงานอิฐมวลเบาสระบุรีแห่งที่ 2 (AAC-2) อย่างเป็นทางการ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรองรับดีมานด์ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน
โรงงาน AAC-2 ใช้งบลงทุนกว่า 648 ล้านบาท มีกำลังผลิตอยู่ที่ 163,200 ตันต่อปี หรือราว 2.9 ล้านตารางเมตร ซึ่งทำให้ DRT มีกำลังผลิตรวมทั้งหมดที่ 8.7 ล้านตารางเมตรต่อปี จากทั้ง 3 แห่ง (สระบุรี 2 แห่ง + เชียงใหม่)
การเปิดตัวโรงงานใหม่ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการขยายกำลังผลิต แต่ยังสะท้อนถึงการลงทุนใน “ประสิทธิภาพ” ผ่านเทคโนโลยี The Green Cake Separating Technology ซึ่งช่วยให้กระบวนการผลิตอิฐมวลเบา “ไม่ติดกัน” หลังอบ ลดการสูญเสีย และช่วยประหยัดพลังงาน
“การลงทุนใน AAC-2 ไม่ได้เพิ่มแค่กำลังผลิต แต่เพิ่มความยืดหยุ่น และคุณภาพในการรองรับดีมานด์ใหม่ของตลาด” สาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT กล่าว
ทำไม DRT ถึงเลือกลงทุนในอิฐมวลเบา?
แม้ DRT จะเป็นที่รู้จักจากผลิตภัณฑ์หลังคาและไม้สังเคราะห์ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อิฐมวลเบา กลายเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าสำคัญของบริษัท เพราะตอบโจทย์ทั้งในแง่ต้นทุนก่อสร้าง น้ำหนักเบา ประหยัดพลังงาน และเป็นวัสดุก่อสร้างที่สอดคล้องกับแนวทาง Green Building ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น
จากโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐ เช่น ระบบราง, อาคารราชการ, และโครงการที่อยู่อาศัยของเอกชน ไม่ว่าจะเป็นบ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียม ต่างก็มีความต้องการใช้อิฐมวลเบาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
Green Cake Technology = ลดต้นทุน + รักษ์โลก
สิ่งที่ทำให้ AAC-2 โดดเด่นกว่าการขยายไลน์การผลิตแบบเดิม ๆ คือการเลือกใช้ Green Cake Separating Technology ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วย
- แยกอิฐก่อนเข้าเตาอบ ลดการแตกหัก
- ลดของเสีย (waste) จากกระบวนการผลิต
- ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง Sustainable Development
นี่คือการตอบโจทย์ทั้ง “ต้นทุน” และ “ภาพลักษณ์องค์กร” ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในวงการอุตสาหกรรมต่างต้องให้ความสำคัญ
มากกว่าแค่ผลิตเพิ่ม คือการ “มิกซ์สินค้า” อย่างยืดหยุ่น
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่โรงงานใหม่เข้ามาเติมเต็ม คือ ความยืดหยุ่นของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นรุ่นมาตรฐานหรือสเปกพิเศษ เช่น
- อิฐมวลเบา G2 และ G4
- สำหรับงานโครงสร้างที่มีข้อกำหนดเฉพาะ
- รองรับงานโครงการทั้งเล็กและใหญ่
ซึ่งช่วยให้ DRT สามารถขยายฐานลูกค้า และจับตลาดที่กว้างขึ้น โดยไม่ติดข้อจำกัดของไลน์ผลิต
เกมนี้ DRT กำลัง “สร้างจุดแข็ง” มากกว่าปริมาณ
การลงทุน 648 ล้านบาท อาจฟังดูมากสำหรับการขยายโรงงานเพียงแห่งเดียว แต่หากมองให้ลึกลงไป สิ่งที่ DRT ได้รับไม่ใช่แค่ “ปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น” แต่คือ
- คุณภาพสินค้า ที่สม่ำเสมอมากขึ้น
- ต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำลง
- ความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
- โอกาสในการตอบสนองตลาดโครงการขนาดใหญ่
ในวันที่การแข่งขันในตลาดวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น และผู้บริโภคต้องการสินค้าที่ “คุ้มค่าในทุกมิติ” การที่ DRT ลงมือก่อน จึงอาจกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้บริษัทนี้ยืนหนึ่งในตลาดได้อีกนาน
“เราเชื่อว่า...การลงทุนในประสิทธิภาพวันนี้ คือกำไรในอนาคตที่ยั่งยืน”







