แสนสิริ–กสิกรไทย ดันสินเชื่อบ้านสีเขียว ดอกเบี้ยเริ่ม 1.75%

แสนสิริ–กสิกรไทย ต่อยอดพันธมิตร 40 ปี เปิดตัว สินเชื่อบ้านสีเขียว หรือ Green Loan สอดรับยุทธศาสตร์ Net-Zero พร้อมสิทธิพิเศษจูงใจคนรุ่นใหม่เข้าสู่ยุคคาร์บอนต่ำ
ในห้วงเวลาที่เป้าหมาย Net-Zero กลายเป็นวาระแห่งชาติ การเคลื่อนไหวของภาคธุรกิจเพื่อสร้างระบบนิเวศสีเขียวจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือกลยุทธ์สำคัญ และหนึ่งในกรณีศึกษาที่ชัดเจน คือความร่วมมือระหว่าง แสนสิริ กับ ธนาคารกสิกรไทย ที่ล่าสุดเดินหน้าขับเคลื่อนสินเชื่อบ้านสีเขียว (Green Loan) ภายใต้เงื่อนไขดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเพียง 1.75%
“บ้านคือจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน และเราต้องทำให้การเข้าถึงบ้านแบบนั้นเป็นไปได้จริง” อุทัย อุทัยแสงสุขกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
การร่วมมือกันครั้งนี้ไม่เพียงตอกย้ำความสัมพันธ์ยาวนานกว่า 40 ปีระหว่างสององค์กร แต่ยังเป็นสัญญาณว่า “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” และ “การเงิน” สามารถเดินไปพร้อมกันในแนวทาง ESG ได้อย่างเป็นรูปธรรม
สินเชื่อเพื่อโลก พร้อมสร้างแรงจูงใจ
- ดอกเบี้ยปีแรกเริ่ม 1.75%
- ฟรีค่าจดจำนอง
- สิทธิประโยชน์จากโครงการกว่า 117 โครงการทั่วประเทศ
- ระยะเวลาร่วมแคมเปญ: 15 ก.ค. – 30 ก.ย. 2568
บ้านต้นแบบเปลี่ยนโลก
แสนสิริยังเดินหน้าเปิดตัว “Sustainable Home – Prototype 1” บ้านต้นแบบที่โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์–สาย 1 ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 35% ต่อหลัง หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 14,300 ต้น ด้วยนวัตกรรม 4 แกนหลัก
- Cooliving Design: บ้านเย็นโดยไม่พึ่งพาพลังงานสูง
- Green Materials: วัสดุเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- Resource Efficiency: ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- Health & Well-being: ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัย
แนวคิดนี้ยังถูกขยายสู่โครงการระดับลักชัวรี เช่น นาราสิริ และ ณริณสิริ รวมกว่า 5 โครงการ
“แสนสิริคือผู้พัฒนาอสังหาฯ รายแรกของไทยที่ตั้งเป้า Net-Zero ภายในปี 2050” รุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย
กสิกรไทยยังตั้งเป้าสนับสนุน สินเชื่อบ้านสีเขียววงเงิน 12,000 ล้านบาท ในปี 2568 พร้อมขยายพันธมิตร Green Product เช่น Solar Rooftop และวัสดุประหยัดพลังงาน โดยคาดหวังให้เกิด Green Ecosystem อย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ความร่วมมือระหว่างแสนสิริและกสิกรไทยจึงไม่ใช่เพียงกลยุทธ์การตลาด หากแต่เป็นการลงทุนระยะยาวในอนาคตที่ยั่งยืนของทั้งองค์กรและผู้บริโภคเพราะ “บ้านที่ดี” ในวันนี้ ไม่ใช่แค่สวยและอยู่สบาย
แต่ต้องเป็นบ้านที่ “ดีต่อโลก” ด้วยเช่นกัน







