‘ชาญอิสสระ’ฝ่าพายุเศรษฐกิจรักษาสภาพคล่องโฟกัสซูเปอร์ลักชัวรี

‘ชาญอิสสระ’ฝ่าพายุเศรษฐกิจรักษาสภาพคล่องโฟกัสซูเปอร์ลักชัวรี

กลางมรสุมเศรษฐกิจโลกและประเทศไทย “ชาญอิสสระ” เร่งปรับแผนธุรกิจ ผลักดันบ้านซูเปอร์ลักชัวรีเป็นหัวหอก! สู้ศึกอสังหาริมทรัพย์ภายใต้กลยุทธ์รัดเข็มขัด และเก็บเงินสด

ในโลกที่เศรษฐกิจไร้ทิศทางและแรงกดดันจากทั่วสารทิศ “สภาพคล่อง” กลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะยิ่งท้าทายกว่าช่วงที่ผ่านมา

“ตอนนี้ไทยหลังชนฝาแล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าไปทางซ้ายหรือขวา เราไม่มีทางรู้ว่าทางไหนจะประสบความสำเร็จ แต่ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ” 

สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด สะท้อนสภาพเศรษฐกิจและมุมมองของผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าท่ามกลางความไม่แน่นอนจากทั้งในและต่างประเทศ

จากปัจจัยเสี่ยงในระดับโลก ทั้งสงครามการค้า นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์หลายพื้นที่และรุนแรงขึ้น  ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังอ่อนแรง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวเริ่มชะลอ หนี้ครัวเรือนยังคงพุ่งสูง ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์  เดินหน้าปรับกลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง 2568 โดยเน้น “บริหารต้นทุน-เพิ่มสภาพคล่อง” และมุ่งเป้า “ตลาดบน”  วิกฤติด้วยการโฟกัสในกลุ่มซูเปอร์ลักชัวรี ที่ยังมีแรงซื้อและกระแสเงินสดจริง
 

บ้านหรูยัง “ไปต่อ” บนพฤติกรรมซื้อเงินสด

แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะชะลอตัว แต่กลุ่มบ้านหรูระดับราคา 80-150 ล้านบาทต่อยูนิต ยังคงเติบโตได้ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเศรษฐีไทยและนักลงทุนต่างชาติ เช่น ชาวจีน และญี่ปุ่น ซึ่งนิยมซื้อแบบ Leasehold (สิทธิการเช่า 30 ปี) และมีพฤติกรรมการซื้อเงินสดถึง 50-60%

“กลุ่มนี้ไม่ได้ดูเรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือความไม่มั่นใจทางเศรษฐกิจ แต่เน้นทำเลและคุณภาพชีวิตเป็นหลัก”

สงกรานต์ กล่าวว่า สินค้าหลักที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้คือโครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรีระดับราคา 130-150 ล้านบาท และโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวปลายปีนี้บนถนนกรุงเทพกรีฑา พื้นที่ 40 ไร่  วางแผนพัฒนา 2 เฟส ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังพบเทรนด์การซื้อบ้านหรูเงินสดในทำเลต่างจังหวัด เช่น หัวหิน สะท้อนว่า ดีมานด์บ้านระดับบน ยังมีอยู่จริงแม้เศรษฐกิจชะลอตัว
 

บทเรียนจากเศรษฐกิจอยู่ให้รอดก่อนโต

จากสถานการณ์อึมครึม ทำให้แบรนด์อสังหาริมทรัพย์หลายรายจะเร่งปล่อยของ ลดราคา หรือทำโปรโมชันเพื่อเร่งยอดขาย แต่ “ชาญอิสสระ” กลับเลือกคัดโครงการที่ “ใช่" และประคอง “กระแสเงินสด” ให้มั่นคง ซึ่งอาจดูช้าในสายตาคู่แข่ง แต่สะท้อนวิธีคิดแบบอนุรักษ์นิยมบนพื้นฐานความเสี่ยงที่มองทะลุรอบเศรษฐกิจ

“ตอนนี้ต้องรัดกุมให้มากขึ้น เลือกโครงการที่มีโอกาสจริง และพยายามควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด”

ประเทศไทยต้อง “เล่าเรื่องใหม่” ให้โลกฟัง

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ภาคเอกชนปรับตัวได้เร็ว แต่ภาครัฐกลับยังไม่มีทิศทางการลงทุนที่ชัดเจน!  โดย สงกรานต์ มองว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้าง “Story ใหม่” ที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญอย่างประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย ที่มีแรงงาน และค่าแรงถูกกว่าให้ได้

“วันนี้ไทยยังไม่มีอะไรดึงดูดเหมือน ‘อีสเทิร์นซีบอร์ด’ เมื่อ 30 ปีก่อน”

สงกรานต์ เสนอแนวคิดพัฒนาโครงการ คอคอดกระ เพื่อสร้างทางเลือกด้านโลจิสติกส์จากสิงคโปร์ ดึงดูดต่างชาติให้ย้ายฐานผลิตเข้ามาประเทศไทยในระยะยาว รวมทั้งนโยบายเพิ่มสิทธิการเช่าที่ดินจาก 30 ปี เป็น 50 เพื่อดึงดูดการลงทุนในรูปแบบ leasehold

เสียงเตือนของสงกรานต์ ไม่ได้สะท้อนแค่ความกังวลต่อเศรษฐกิจ แต่ยังส่งสัญญาณไปยังผู้มีอำนาจในการกำหนดทิศทางประเทศว่า หากไทยไม่เริ่ม “กล้า” ที่จะเปลี่ยน! ไม่มีเรื่องเล่าใหม่ๆ ให้โลกฟัง อาจ “เสียโอกาส” ให้กับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างถาวร

สำหรับเศรษฐกิจไทย ปี 2568 มีการประเมิน GDP โตต่ำกว่า 2% ย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องหลายอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก โรงแรม และ หนึ่งในนั้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เมื่อเศรษฐกิจยังไร้ทิศทาง ธุรกิจที่อยู่รอดจึงไม่ใช่ผู้ที่เติบโตเร็วที่สุด แต่คือผู้ที่ “มีสภาพคล่องมากที่สุด”  รู้จักเลือก “ตลาดที่ยังมีโอกาส” ซึ่งวันนี้ “บ้านซูเปอร์ลักชัวรี” คือคำตอบของ “ชาญอิสสระ” ท่ามกลางภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญการแข่งขันอย่างเข้มข้น เพื่อช่วงชิงโอกาสในการอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว