New Ground Cohousing ที่อยู่อาศัยสำหรับสตรีอาวุโส สหราชอาณาจักร

ในการอภิปรายงบประมาณที่ผ่านมา บ้านพักคนชรา หรือ บ้านบางแค ถูก สส.พรรคฝ่ายค้านนำมาอภิปรายอย่างดุเดือดถึงเรื่องการต่อคิวของผู้สูงอายุที่ต้องรอกว่า 10 ปี
กับงบประมาณที่ถูกจัดสรรมาเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
เรื่องผู้สูงอายุเป็นความท้าทายสำคัญของรัฐบาลและแทบทุกประเทศ ภายในปี พ.ศ. 2593 ประชากรโลกที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีจำนวนมากกว่า 2,000 ล้านคน ซึ่งจะสูงกว่าจำนวนเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ที่หลายประเทศทั่วโลกได้วางแผนเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างดีแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged society) แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 และคาดว่าจะกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged society) ภายในปี พ.ศ.2578
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนนโยบายด้านผู้สูงอายุของประเทศเรานั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกเหนือจากเบี้ยผู้สูงอายุและเงินอุดหนุนในการดำรงชีพแล้ว ประเทศไทยแทบจะไม่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อรองรับสังคมสูงวัยเลย
ท่ามกลางปรากฏการณ์ดังกล่าว บ้านบางแคและอีกหลายบ้านพัก คือหนึ่งในความท้าทายเชิงโครงสร้างที่มักถูกมองข้าม โดยเฉพาะกลุ่มสตรีอาวุโสที่ใช้ชีวิตลำพัง ซึ่งมีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ สังคม และจิตใจ ปัญหาเรื่อง ความโดดเดี่ยวและการพึ่งพิงลูกหลานหรือรัฐ เป็นประเด็นที่เริ่มเรื้อรังในหลายประเทศ
บทความนี้จึงอยากชวนมาทำความรู้จักกับ “New Ground Cohousing” หรือที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ซึ่งออกแบบโดยกลุ่มสตรีอาวุโส “เพื่อ” สตรีอาวุโสจากสหราชอาณาจักร
ซึ่งเป็นประเทศที่มีลักษณะโครงสร้างประชากรคล้ายกับประเทศไทย สามารถเป็นแนวทางให้กับประเทศไทยได้ศึกษาและต่อยอดสู่การออกแบบนโยบายที่อยู่อาศัยในยุคสังคมสูงวัย
สาเหตุที่ต้องมี “ที่อยู่อาศัยโดยผู้หญิงเพื่อผู้หญิง” เนื่องจากสหราชอาณาจักรมีประชากรหญิงอาวุโสใช้ชีวิตเพียงลำพังเป็นจำนวนมากโดยในปี 2564 มีอยู่ประมาณ 2.5 ล้านคน
ซึ่งการใช้ชีวิตเพียงลำพังนี้ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว ที่สามารถทำร้ายสุขภาพกายและสุขภาพใจ แต่กลุ่มสตรีเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับความเปราะบางในการดำรงชีวิตมากกว่าบุรุษ
เรื่องนี้ไม่ใช่ “ความบังเอิญทางชีวภาพ” แต่คือ ผลจากการสะสมของโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งโครงสร้างในหลายประเทศก็มีลักษณะที่ส่งเสริม “ความไม่เท่าเทียม” มาตลอดชีวิตของพวกเธอ
ด้วยเหตุนี้ หากรัฐบาลไม่ออกแบบนโยบายหรือที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ ก็เท่ากับเรากำลังปล่อยให้กลุ่มสตรีอาวุโสเหล่านี้ตกหล่นจากระบบสวัสดิการอย่างไม่เป็นธรรม
โครงการ “นิวกราวนด์” (New Ground) หรือโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับ “สตรีอาวุโส” แห่งแรกของสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน ในเขตการปกครองท้องถิ่นบาร์เน็ต เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคประชาชนและองค์กรไม่แสวงหากำไร
จุดกำเนิดมาจากไอเดียของ มาเรีย เบรนตัน (Maria Brenton) ทูตอาวุโสประจำเครือข่าย Co-housing ที่ใช้เวลาเกือบ 2 ทศวรรษในการพัฒนาแนวคิด ศึกษาวิจัย สร้างเครือข่าย และโน้มน้าวสภาท้องถิ่นให้เห็นความสำคัญของการสร้าง Co-housing แห่งนี้
เบรนตันได้รับไอเดียมาจากโครงการที่อยู่อาศัยแบบกลุ่ม (Living group) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ช่วงหลังปี 2523 ให้เป็นที่อยู่อาศัยทางเลือกสำหรับผู้สูงอายุ นอกเหนือจากบ้านพักคนชราหรือสถานพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายสูง
เป้าหมายของโครงการคือ การสร้างที่อยู่อาศัยที่ผู้หญิงสูงวัยสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างอิสระ มีบทบาทตัดสินใจ และดูแลกันและกันในลักษณะเพื่อนบ้านที่ช่วยเหลือกัน
เบรนตันและกลุ่มเพื่อนรวมตัวกันตั้งแต่ช่วงช่วงปี 2530- 2539 และใช้เวลากว่า 18 ปีในการผลักดันให้โครงการเป็นจริงในปี 2559 New Ground ได้เปิดตัวอย่างเป็นโครงการ ประกอบด้วยห้องชุด 25 ห้อง อีกทั้งพื้นที่ส่วนกลาง เช่น สวนดอกไม้และห้องพักสำหรับแขกผู้มาเยือน
และยังมีห้องเช่าเพื่อสังคม (social rental units) สำหรับสตรีที่มีข้อจำกัดทางการเงินอีกด้วย แต่ละห้องได้รับการออกแบบให้มีระเบียงขนาดใหญ่หันหน้าเข้าสวนส่วนกลาง เพื่อส่งเสริมการพบปะของผู้อาศัย
นอกจากนี้ยังมีระบบ “คู่หูสุขภาพ” (health buddy) คือ สมาชิกที่คอยดูแลกันเองในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบการแพทย์มากนัก คอยเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพให้แก่กัน หากสมาชิกคนใดเกิดเหตุฉุกเฉินหรือมีกิจวัตรประจำวันที่ผิดสังเกต บัดดี้จะตรวจสอบและคอยช่วยเหลือเพื่อให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างปกติ
ผู้หญิงที่เข้าร่วมโครงการนี้มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่เคยใช้ชีวิตลำพัง ไม่ว่าจะเป็น โสด หม้ายหรือหย่าร้าง ถึงแม้พวกเธอจะมาจากพื้นฐานทางสังคมที่แตกต่างกัน แต่ต่างมีเป้าหมายร่วมคือการสร้างระบบการอยู่อาศัยที่พึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี และแม้โครงการนิวกราวน์จะมีขนาดเล็ก แต่กลับช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ
โครงการนิวกราวน์ช่วยภาครัฐประหยัดงบประมาณ เนื่องจากสมาชิกกลุ่มได้
1) ลดการพึ่งพาระบบสาธารณสุข จากงานวิจัยพบว่า โครงการดังกล่าวทำให้รัฐบาลสามารถประหยัดต้นทุนค่ารักษาพยาบาล 1,500 ปอนด์ต่อปีต่อคน หรือ 67,500 บาทต่อปีต่อคน
2) ลดความจำเป็นในการจ้างผู้ดูแล เนื่องจากระบบ ‘เพื่อนดูแลเพื่อน’ ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาบริการแบบ one-on-one ที่มีต้นทุนสูง
3) ลดอัตราการเข้าอาศัยบ้านพักคนชรา โดยปกติแล้ว ค่าใช้จ่ายของบ้านพักคนชราอยู่ที่ประมาณ 40,000 ปอนด์ต่อปีต่อคน ขณะที่ New Ground คิดค่าบริหารจัดการร่วมกันอยู่ที่ 1,800 ปอนด์ต่อปีต่อคน นอกเหนือจากต้นทุนค่าใช้จ่ายต่อปีที่ค่อนข้างต่ำ และยังสร้างความภูมิใจและศักดิ์ศรีที่พวกเธอไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ดูแลหรือภาครัฐ
ในขณะที่งานวิจัยจาก UK Cohousing Network ระบุว่า co-housing สามารถสร้างผลตอบแทนทางสังคมได้ถึง 1.80-2.50 ปอนด์ ต่อการลงทุนทุก 1 ปอนด์ จากการลดภาระของระบบสาธารณสุขและสวัสดิการโดยรวม จึงมีความพยายามจากหลายประเทศ อาทิเช่น สเปน ไปปรับใช้กับประเทศของตัวเอง
แม้บริบทของอังกฤษและไทยจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่หัวใจของแนวคิด cohousing และการลดต้นทุนทางสาธารณสุขสามารถประยุกต์ใช้ในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากประเทศไทยกำลังประสบปัญหาด้านงบสาธารณสุขที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสตรีอาวุโสของไทยมีจำนวนมากถึง 7.4 ล้านคน (มากกว่าสหราชอาณาจักรถึง3เท่า)
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบเชิงวัฒนธรรมเรื่องการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน แต่ยังขาดกลไกสนับสนุนในเชิงโครงสร้าง ดังนั้น หากภาครัฐสามารถส่งเสริมความร่วมมือกับภาคประชาสังคมและภาคเอกชน ในการออกแบบโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่
โดยเริ่มในพื้นที่ที่มีสตรีอาวุโสจำนวนมากที่สุด เช่น จ.ลำปาง และสนับสนุนกลุ่มสตรีในจังหวัดให้ช่วยออกแบบโครงการกับเคหะแห่งชาติอาจช่วยให้ภาครัฐประหยัดงบประมาณค่ารักษาต่อหัวได้มากถึง 3 หมื่นล้านบาท จากค่ารักษาต่อหัวประมาณ 4,000 บาท ของคนกว่า 7.4 ล้านคน
ดังนั้น หากประเทศไทยกล้าลองเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เช่นนี้บ้าง ไม่เพียงเราจะเปลี่ยนชีวิตของสตรีอาวุโส แต่เราจะเปลี่ยนแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการทั้งระบบ จากสิ่งที่ต้องแบกรับ เป็นสิ่งที่ประชาชนลุกขึ้นมาช่วยสร้างอย่างมีศักดิ์ศรีและยั่งยืน






