‘ไทย’ขึ้นแท่นฮับแบรนด์หรูSafe HavenในอาเซียนรองรับHNWI

‘ไทย’ขึ้นแท่นฮับแบรนด์หรู Safe Havenในอาเซียนรองรับกลุ่มมั่งคั่งสูง หรือ HNWI ดันตลาดลักชัวรีโตสวนกระแสเศรษฐกิจ มูลค่าพุ่ง 1.47 แสนล้านบาท โต 5% ต่อปี
จากเมืองท่องเที่ยวสู่จุดหมายปลายทางแบรนด์หรู สะท้อนศักยภาพไทยรองรับกลุ่มมั่งคั่งสูง หรือ HNWI (High Net Worth Individuals) เมื่อพลังท่องเที่ยว-ค้าปลีก ดันตลาดลักชัวรีโตสวนกระแสผงาดศูนย์กลาง Safe Haven
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ตลาดค้าปลีกสินค้าลักชัวรีในประเทศไทยกลับแสดงศักยภาพอันน่าทึ่ง อย่าง LV The Place Bangkok ของ Louis Vuitton สโตร์แห่งใหม่ล่าสุดในคอนเซปต์ 360 ที่รวมรีเทล คาเฟ่ ร้านอาหาร และนิทรรศการ เปิดตัวประเทศไทยเป็นที่แรกในโลก หรือ DIOR Gold House คอนเซปต์สโตร์สีทองอร่ามแห่งใหม่ของแบรนด์ดิออร์ ย่านเพลินจิต
โชติกา ทั้งศิริทรัพย์ หัวหน้าแผนกที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการและวิจัยตลาด CBRE ประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดมีมูลค่าถึง 1.47 แสนล้านบาท คาดเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปีจนถึงปี 2571 สะท้อนความแข็งแกร่งของดีมานด์ภายในประเทศและอิทธิพลของนักท่องเที่ยวระดับบนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
รายงาน “แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568” ของ CBRE ชี้ว่า จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่การบูรณาการระหว่างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและค้าปลีก โดยปี 2567 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35.5 ล้านคน ส่งผลดีต่อภาคบริการและสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้ธุรกิจแบรนด์หรูอย่างชัดเจน
การขยายตัวของพื้นที่ศูนย์การค้าใจกลางกรุงเทพฯ กว่า 410,000 ตร.ม. ในช่วงปี 2567-2568 ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกมีพื้นที่รองรับแบรนด์ระดับโลกมากขึ้น ขณะที่ผู้พัฒนาโครงการเร่งยกระดับคุณภาพของศูนย์การค้าเพื่อแข่งขันแย่งชิงแบรนด์ไฮเอนด์ เช่น การรีโนเวตโซนหรูใหม่ เพิ่มบริการเฉพาะ เช่น ล่ามภาษาต่างประเทศ สินค้าปลอดภาษี และประสบการณ์ลูกค้าที่เหนือระดับ
"ทำเล-ฐานลูกค้าHNWI"ดึงแบรนด์หรูเลือกไทย
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยขึ้นแท่นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของแบรนด์หรู คือ ทำเล และ ฐานลูกค้า HNWI ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากนักท่องเที่ยวระดับสูง และชาวต่างชาติที่เลือกพำนักในไทยผ่านโครงการวีซ่าระยะยาว รวมถึงภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะ “Safe Haven” แห่งภูมิภาค
ย่าน “ลุมพินี” กลายเป็น“แม่เหล็กใหม่”ของแบรนด์แฟชั่นระดับโลก การขยายพื้นที่ของเซ็นทรัลเอ็มบาสซี เซ็นทรัลชิดลม และการปรากฏตัวของ DIOR Gold House เป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่เลือกลงทุนในย่านที่สะท้อนความหรูหราและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
ขณะที่ “ภูเก็ต” ก้าวขึ้นเป็นสนามรบใหม่ของค้าปลีกลักชัวรี่ ด้วยการรีโนเวต เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า และแผนเปิด สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต ชี้ให้เห็นการกระจายตัวของดีมานด์สินค้าหรูสู่เมืองท่องเที่ยวรอง
ค้าปลีกไม่ใช่แค่“ขาย”แต่ต้อง“เล่าเรื่อง”
ในยุคที่แบรนด์ไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่ขายประสบการณ์ โครงการค้าปลีกในไทยต่างปรับตัวเพื่อตอบสนองโจทย์ใหม่ ตัวอย่างชัดเจนคือ เกษรวิลเลจ ที่กลายเป็นพื้นที่ค้าปลีกเชิงประสบการณ์ของหลุยส์วิตตอง ภายใต้คอนเซปต์ LV The Place Bangkok ซึ่งรวมร้านอาหาร นิทรรศการ และร้านแฟลกชิป เป็นการใช้ “พื้นที่” เป็นเครื่องมือสื่อสารแบรนด์อย่างลึกซึ้ง
ขณะเดียวกัน ศูนย์การค้าสยามพารากอน และไอคอนสยาม ของกลุ่มสยามพิวรรธน์ วางแผนเพิ่มกว่า 15 แบรนด์หรูใหม่ในปี 2568 ตอกย้ำดีมานด์ที่ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว และแข่งขันด้วยการจัดวาง “Tenant Mix” ที่เสริมกัน พร้อมผสานบริการระดับพรีเมียมเพื่อสร้างความต่าง
เส้นทางสู่ฮับแห่งใหม่ของอาเซียน
“วิวัฒนาการของธุรกิจแบรนด์หรูในไทยกำลังขับเคลื่อนโดยความแข็งแกร่งของการท่องเที่ยว จำนวน HNWI ที่เพิ่มขึ้น และความต้องการประสบการณ์ค้าปลีกที่ไม่ธรรมดา”
เมื่อแบรนด์หรูแห่เข้ามาลงทุน และผู้พัฒนาโครงการเร่งปรับตัวเพื่อสร้างประสบการณ์แบบเวิลด์คลาส ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงจังหวะของการเปลี่ยนผ่านจาก “ตลาดทางเลือก” สู่ “ตลาดเป้าหมาย” ของแบรนด์หรูระดับโลกอย่างชัดเจน และนั่นคือเส้นทางที่ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าไปสู่ศูนย์กลางสินค้าลักชัวรีแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้