แผ่นดินไหวบททดสอบความเชื่อมั่นคอนโดจุดเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ซื้อ

แผ่นดินไหวบททดสอบความเชื่อมั่นคอนโดจุดเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ซื้อ

'แผ่นดินไหว'บททดสอบความเชื่อมั่นคอนโด ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวสูงที่เปราะบางต่อผลกระทบด้านจิตใจและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคสู่จุดเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ซื้อ

ชญาณ์นันท์ กีรติเตชะนนท์ ซีอีโอ บริษัท เวลทิเนส เอสเตท จำกัด ตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลกระทบในเชิงเทคนิคโครงสร้างอาคารเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบสำคัญต่อมาตรฐานการบริหารจัดการของผู้ประกอบการและนิติบุคคลร่วม

“ดีเวลลอปเปอร์หลายรายส่งวิศวกรเข้าตรวจสอบอาคารทันที เป็นการฟื้นความมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน ฝ่ายนิติบุคคลของคอนโดจำนวนมากก็แสดงบทบาทเชิงรุก ทั้งการสื่อสารรอยร้าวที่ปลอดภัย ไม่ปลอดภัย การเปิดให้ตรวจสอบโครงสร้าง การประสานงาน การเคลมประกันภัยอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ”

ผู้บริโภคเปลี่ยนจาก “ซื้อ” เป็น “รอ”

ในหลายกรณี อาคารคอนโดมิเนียมที่มีประกันภัยครอบคลุมความเสียหายจากภัยพิบัติอยู่แล้ว ได้เริ่มกระบวนการรับแจ้งความเสียหายผ่านแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อประสานกับบริษัทประกันในการซ่อมแซม เช่น โครงการขนาด 500 ยูนิต บางแห่งมีทุนประกันรวมสูงถึง 2,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยห้องละ 200,000 บาท อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้พักอาศัยให้ความสำคัญมากที่สุดไม่ใช่เพียงโครงสร้าง แต่คือ “ความชัดเจนว่าใครจะรับผิดชอบเมื่อเกิดความเสียหาย”
 

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังเกิดปรากฏการณ์ “ตื่นตระหนก” (panic) ของเจ้าของห้องบางส่วน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ได้รับผลกระทบ ลูกบ้านย้ายออกชั่วคราว ทำให้มีกระแสว่า คอนโดราคาตก! มีการเทขาย ในมุมมองของชญาณ์นันท์ เชื่อว่า หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นช่วงเวลาตื่นตระหนกของผู้คน อาจมีประกาศขายบ้าง หรือหากกำลังจะโอนอาจ “ชะลอ” ไปก่อนเพื่อดูสถานการณ์

ผลกระทบต่อยอดขาย Q2 มาแน่

ชญาณ์นันท์ คาดว่า ไตรมาส 2 ยอดขายและยอดโอนคอนโดอาจได้ “แผ่วลง” อย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังไม่น่ารุนแรงถึงขั้นตลาด “ชะงัก” ดังที่มีกระแสในช่วงแรก เพราะผู้ซื้อที่มีความจำเป็นยังต้องหาที่อยู่อาศัย และคนที่มีเงินก็ยังรอโอกาสเหมาะในการลงทุน อย่างตอนน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 หรือช่วงโควิด-19 ตลาดก็ตกใจในช่วงแรก แต่สุดท้ายคนก็กลับมาซื้อ กลับมาอยู่ เพราะความต้องการจริงยังมีอยู่

ในมุมของตัวแทนขายอสังหาฯ เชื่อว่า ห้วงเวลานี้เป็น “ช่วงชะลอ” มากกว่าการ “หั่นราคา” เพราะต้นทุนการก่อสร้างของดีเวลลอปเปอร์ยังคงสูง และหากแบรนด์ใดมีความแข็งแกร่งในการบริหารความเสี่ยง จะไม่จำเป็นต้องแข่งขันด้านราคา

“ต่อให้ลดราคาเยอะ แต่ถ้าแบรนด์ไม่มีความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพโครงสร้างหรือการดูแลลูกค้า ก็ขายไม่ได้อยู่ดี”

พฤติกรรมคนซื้อคอนโดไม่เหมือนเดิม

แผ่นดินไหวเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้ออสังหาอย่างไร? ชญาณ์นันท์ ระบุว่า แนวโน้ม“คอนโดโลว์ไรส์”จะกลับมาได้รับความสนใจ โดยเฉพาะจากผู้ที่กังวลเรื่องแรงสั่นสะเทือนและต้องการความมั่นใจด้านความปลอดภัย ผู้ซื้อให้ความสำคัญกับ "บริษัทก่อสร้าง" มากกว่าที่เคย เช่น Obayashi จากญี่ปุ่น หรือ Ritta ที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่คุณภาพสูง เริ่มถูกพูดถึงในวงกว้าง จากคุณภาพการก่อสร้างที่ทำให้โครงการไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ถือป็นอีกปัจจัยสำคัญในสายตาผู้ซื้อ คือ ชื่อเสียงของผู้รับเหมา ที่ใช้ก่อสร้าง โดยปกติชื่อบริษัทเหล่านี้อาจอยู่ในแผงท้ายสุดของโบรชัวร์ แต่วันนี้กลับกลายเป็นปัจจัยต้นๆ ที่ผู้ซื้อหยิบมาพิจารณา

  “อนาคตอาจไม่ใช่แค่ดูว่า Facilities มีอะไร แต่จะถามเลยว่า ใครสร้างคอนโดนี้? ใช้ผู้รับเหมารายไหน? นั่นคือความเปลี่ยนแปลงที่ชัดมาก”

แบรนด์ที่ “รับมือได้” ไม่ใช่แค่ “ขายได้”

นอกจากนี้ ดีเวลลอปเปอร์ที่“รับมือวิกฤติได้ดี”จะกลายเป็นแบรนด์ในใจของลูกค้าอาทิ แสนสิริ ศุภาลัย แอล.พี.เอ็น. ที่มีการสื่อสารและดูแลลูกบ้านได้อย่างต่อเนื่องและโปร่งใส “ความปลอดภัย”กลายเป็นปัจจัยการตลาดสำคัญ ต่อจากทำเล ราคา และส่วนกลาง เพราะลูกค้าจะมองหาความอุ่นใจมากกว่าความคุ้มค่าเพียงอย่างเดียว

เหตุการณ์นี้อาจเป็น “wake up call” ให้ทั้งดีเวลลอปเปอร์ ผู้รับเหมา และนิติบุคคล พิจารณาถึงแนวทางบริหารความเสี่ยงในระยะยาว ไม่ใช่แค่การออกแบบที่หรูหรา หรือการตลาดที่น่าดึงดูดเพราะในโลกที่ความไม่แน่นอนอาจเกิดขึ้นได้เสมอ แบรนด์ที่ “อยู่รอด” อาจไม่ใช่แบรนด์ที่ “ขายได้เร็วที่สุด”...แต่คือแบรนด์ที่ สร้างความเชื่อมั่นได้มากที่สุด เมื่อเกิดวิกฤติและนั่นคือ บทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของ “อสังหาฯ ยุคใหม่” ที่ไม่ได้แข่งกันแค่ทำเลและราคา...แต่แข่งกันด้วย “ความรับผิดชอบ และความโปร่งใส” ที่แท้จริง

“เพราะไม่ใช่แค่ลดราคาแล้วลูกค้าจะซื้อ แต่ถ้าดูแลดี ใส่ใจ ตั้งใจจริง ลูกค้าก็พร้อมจะเลือกแบรนด์นั้นเป็นตัวเลือกแรก”