เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! อสังหาฯ‘แผ่นดินไหว-ภาษีทรัมป์’ฉุดยอด Q2ร่วง

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! อสังหาฯไทย เคราะห์ซ้ำกรรมซัด! ‘แผ่นดินไหว-ภาษีทรัมป์’ฉุดยอด Q2ร่วง! ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในและต่างประเทศยังไม่ฟื้นตัว
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้านทั้งภายในและภายนอกประเทศ ล่าสุดปัญหาหนักจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาสะเทือนไทยครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ขณะที่ “นโยบายภาษีทรัมป์” ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเทศ รวมถึง “ไทย” สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทย แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะนโยบายภาษีทรัมป์และเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในช่วงปลายเดือน มี.ค. กระทบความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน สิ่งที่ตามมาคือ ความกังวลของภาคเอกชนที่ต้องรับมือกับการ “ชะลอตัว” ของกำลังซื้อ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในและต่างประเทศยังไม่ฟื้นตัว!
อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ไม่ดีขึ้นตามที่คาดหวัง ยิ่งหากไม่มีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐอย่างจริงจัง! เนื่องจาก 2 ปัจจัยลบ เหตุการณ์แผ่นดินไหวและนโยบายภาษีทรัมป์ มีผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน รวมทั้งทั่วโลก ขึ้นอยู่ว่าแต่ละประเทศจะตั้งรับและปรับตัวอย่างไร
“สหรัฐเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย มีมูลค่าสูงมากกว่าจีน ในมุมมองอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นเหมือนกับภาคการส่งออก มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยซึ่งรัฐบาลต้องเข้ามาจัดการ เพราะนอกเหนือจากความสามารถของภาคเอกชน”
ปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบทางเชิงจิตวิทยาทำให้คนชะลอการตัดสินใจ รวมทั้งความวิตกกังวลจากเหตุแผ่นดินไหว ต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้คนกลับมาซื้ออีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ดังนั้นในไตรมาส 2 นี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งในแง่ยอดขายและการโอน “ลดลง”
ชงรัฐออกมาตรการเสริมกระตุ้นเพิ่ม
สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเปราะบางมากขึ้น แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะได้ผ่อนเกณฑ์ควบคุมสินเชื่อ LTV เริ่มวันที่ 1 พ.ค.2568 - 30 มิ.ย.2569 และมาตรการลดค่าโอนและจำนอง หากเป็นภาวะปกติมั่นใจว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้มาก แต่หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและนโยบายภาษีของทรัมป์ อยากให้รัฐบาลพิจารณามาตรการอื่นๆ เช่น บ้านดีมีดาวน์ ลดภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีเงินได้นิติบุคคลธรรมดา เพื่อดึงดูดคนมีกำลังซื้อสูงซื้อที่อยู่อาศัย กระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ให้ทรุดตัวลงไปมากกว่านี้ ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบแรงงานในประเทศค่อนข้างมากทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศสูง
สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า หลังจากที่เหตุแผ่นดินไหวส่งผลกระทบ“ความเชื่อมั่น” ไปแล้ว เวลานี้ “ความกังวล” ในภาคอสังหาริมทรัพย์ถูกยกระดับขึ้นไปอีกเมื่อ “ทรัมป์” ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นจากทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าจากไทย ทำให้ “เงินบาทอ่อนค่า” และต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่นำเข้าจากสหรัฐ นั่นหมายถึงการเพิ่มขึ้นของต้นทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ก่อสร้าง หรือแม้แต่เทคโนโลยีอาคารต่างๆ ทั้งหมดนี้จะสะท้อนออกมาในราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น! ขณะที่ความต้องการซื้อจากลูกค้าภายในและต่างประเทศ “ชะลอตัว”
"สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบต่อการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 2 จะชะลอการเปิดตัวมากขึ้น เพราะต้องรอดูท่าทีจากมาตรการรัฐ โดยเฉพาะการผ่อนปรนเงื่อนไขทางการเงินให้กับผู้ประกอบการและผู้ซื้อ"
สุนทร กล่าวต่อถึงผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ว่า หากไม่มีการเจรจาต่อรองแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างทันท่วงที การส่งออกของไทยจะ “ชะลอตัว” ซึ่งแน่นอนว่าผลกระทบนี้จะลามไปถึงการลดลงของกำลังซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งการที่เงินบาทอ่อนค่าลงย่อมมีผลกระทบต่อราคาเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อการผลิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการก่อสร้างที่มีต้นทุนสูงขึ้นอีกด้วย ขณะเดียวกัน ความพยายามในการดึงโรงงานต่างชาติกลับไปยังสหรัฐ ก็อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศไทย และกำลังซื้อที่ลดลงของกลุ่มคนในภาคการผลิต
ต้นทุนคอนโดเพิ่มขึ้น 3-5%
ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการเสริมสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคมากขึ้น เช่น การเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างอาคารเพื่อรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ซึ่งแน่นอนว่ามาตรการเหล่านี้ทำให้ต้นทุนการพัฒนาคอนโดมิเนียมในอนาคตเพิ่มขึ้น 3-5%
“หากตลาดต้องการกลับมาฟื้นตัว การสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภคเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ หากสามารถสร้างจุดแข็งในด้านความปลอดภัยและคุณภาพที่อยู่อาศัยได้อย่างเต็มที่ ก็อาจเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าในอนาคต”
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความท้าทายใหม่ๆ ที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวในเชิงเศรษฐกิจ การพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้รองรับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น! ธุรกิจที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้รวดเร็วจะสามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้







