บริหารวิกฤติสไตล์ เสนาฯ ฝ่าเฮอริเคน‘ภาษีทรัมป์-แผ่นดินไหว’

เปิดใจครั้งแรก! “ดร.ยุ้ย-เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” หญิงเหล็กวงการอสังหาหลังเผชิญพายุเฮอริเคน “ภาษีทรัมป์-แผ่นดินไหว” พัดกระหน่ำอย่างไม่คาดคิดส่งท้ายไตรมาสแรกปี 2568
ภาพรวมความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโครงการสถาปัตยกรรมที่สร้างเสร็จแล้ว และมีความเสียหายบางส่วนที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ เช่น โครงการ “นิช โมโน บางโพ” ที่เครนถล่มลงมา โดยรวมมูลค่าความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้เกือบ 20 ล้านบาท แต่การตรวจสอบพบว่า “ไม่ใช่” ความเสียหายทางโครงสร้าง แต่เป็นรอยแตกร้าวที่ผนัง ฝ้าเพดานที่เปิดไม่ได้ และประตูที่ไม่สามารถปิดได้ตามปกติ ซึ่งจากการตรวจสอบผลกระทบในโครงการทั่วกรุงเทพฯ ได้เตรียมงบซ่อมแซมไว้ประมาณ 10 ล้านบาท
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สิ่งสำคัญ คือ การบริหารความเสี่ยงในภาวะวิกฤติ (Crisis Management) ซึ่ง เสนาฯ ตัดสินใจดำเนินมาตรการเร่งด่วนทันทีเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกบ้าน และเริ่มดำเนินการซ่อมแซมตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ มาพร้อมกับการตรวจสอบและแก้ไขอย่างละเอียดในทุกโครงการ ถือเป็นหน้าที่หลักของทีมงานเสนาฯ ไม่ว่าโครงการนั้นจะโอนหมดแล้วหรือไม่ เป็นห้องที่ได้รับความเสียหายมากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ ทีมงานเสนาฯ ได้ใช้แอปพลิเคชันเข้ามาช่วยให้ลูกค้าสามารถแจ้งซ่อมแซมจากเหตุแผ่นดินไหวได้อย่างรวดเร็วผ่านระบบแจ้งซ่อมที่พัฒนาโดย NEC ช่วยให้การจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแยกประเภทการซ่อมแซมระหว่างแผ่นดินไหวกับการซ่อมแซมทั่วไป ทำให้กระบวนการทำงานสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการแจ้งซ่อมในส่วนกลางที่เสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่การซ่อมแซมห้องพักลูกค้าเสร็จสิ้นภายในเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้
“การรับมือเหตุการณ์แผ่นดินไหวนี้ไม่ได้จบเพียงแค่การซ่อมแซมเท่านั้น แต่ยังมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต”
โดยการบริหารความเสี่ยงในระดับองค์กร (Enterprise Risk Management : ERM) ได้รับการตระหนักถึงการเกิดขึ้นของภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ไม่คาดคิด การวิเคราะห์ความน่าจะเป็น (Probability) ของเหตุการณ์ต่างๆ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นถูกคำนวณมาอย่างดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในปัจจุบัน การเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติตามแนวคิด “Geo fit+” จากพันธมิตรญี่ปุ่น “ฮันคิว ฮันชิน” คือแนวทางสำคัญในการเสริมสร้างความพร้อมให้กับลูกบ้านและองค์กร
นอกจากนี้ เสนาฯ ให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมสำหรับความเสี่ยง เช่น การเพิ่ม “จุดขาย” ที่สามารถสร้างความมั่นใจให้ลูกค้ามากขึ้น เช่น การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่มีฐานกันล้ม หรือการออกแบบตู้ล็อกในครัวเพื่อรองรับเหตุการณ์แผ่นดินไหว ถือเป็นการ “เพิ่มมูลค่า” ให้โครงการในอนาคต
ความท้าทายตลาดอสังหาฯ
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 2 นี้ จะเห็นแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียม “ชะลอตัว” โดยเฉพาะคอนโดไฮไรส์ แต่เชื่อว่าในที่สุดทุกอย่างจะกลับมาที่จุดสมดุล (Equilibrium) ได้ภายใน 3 เดือน เหมือนวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 สะท้อนให้เห็นว่า
“ไม่ว่าเหตุการณ์ไหนจะเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งสำคัญคือการตอบสนอง (respond) อย่างมีเหตุมีผล พร้อมการเตรียมตัวรับมือในทุกสถานการณ์”
“หุ้นกู้-ภาษีทรัมป์” ความเสี่ยงใหม่
สำหรับการบริหารความเสี่ยงไม่ได้จำกัดแค่เหตุการณ์แผ่นดินไหว แต่ยังรวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เช่น ปัญหา “การชำระหนี้” ในไตรมาส 2 ที่อาจกดดันการเงินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง รวมไปถึงผลกระทบจาก “สงครามการค้า” ยกระดับรุนแรงมากขึ้น ล่าสุดประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบ ถูกสหรัฐ เรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
“การรับมือกับความเสี่ยงในวันนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งที่ไม่รู้ล่วงหน้า คือบทเรียนสำคัญที่เสนาฯ ได้รับจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา"
เกษรา มองว่า มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ เป็นปัญหาใหญ่กว่าแผ่นดินไหวเพราะกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก เพียงแต่ว่า เป็นความใหญ่ที่จับต้องไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหา Physical ผู้คนจึงอาจยังไม่รู้สึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น!!!
เตรียมพร้อม “ปรับตัว” รับมือปัญหา
"ขณะที่เราแก้ปัญหาแผ่นดินไหวก็ต้องเตรียมพร้อมที่รับมือกับปัญหาอื่นๆ ที่เข้ามากระทบกับองค์กรด้วยการ RUN Stress Test ว่า สามารถทนได้ถึงจุดไหนถ้าถึงจุดไหนที่ทนไม่ได้แล้วก็ต้องปรับตัว"
การที่เสนาฯ ใช้แนวทางการทำ Stress Test เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งขององค์กรในทุกๆ ด้าน ถือเป็นการเตรียมตัวที่สำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ยกตัวอย่าง โครงการ “LivNex” เป็นทางเลือกให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ ผ่านกระบวนการ “เช่าออมบ้าน” ที่ให้สิทธิ์สะสมเงินออมโดยไม่ก่อหนี้เพิ่มในช่วง 3 ปีแรก ก่อนยื่นขอสินเชื่อซื้อบ้านจริง
โดยเป้าหมาย 3 ปี ของเสนาฯ ต้องการปรับสัดส่วนหนี้สินโดยเฉพาะหุ้นกู้ วางแผนลดสัดส่วนลงเหลือ 3,000-4,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของหนี้มูลค่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว และการร่วมมือกับพันธมิตรในรูปแบบ Joint Venture (JV) ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสนับสนุนเงินทุน พัฒนาสินค้า นำเสนอความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งด้านการออกแบบและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว อุปสรรคที่เกิดขึ้นเป็นเพียงบททดสอบความแข็งแกร่งขององค์กร เสนาฯ เชื่อว่า ความร่วมมือและการปรับตัวอย่างเหมาะสม จะนำพาทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติได้ในที่สุด







