เศรษฐาชงแผนพลิก ศก.ระยะยาว แนะขยับเพดานหนี้สาธารณะ ลงทุนอินฟราฯ

'เศรษฐา' ชงแผนพลิก ศก.ระยะยาว แนะขยับเพดานหนี้สาธารณะ ลงทุนอินฟราฯ เร่งบูรณาการแก้น้ำท่วม น้ำแล้ง ปั้นสุวรรณภูมิ “Transit Hub” รับดีมานด์ท่องเที่ยว
KEY
POINTS
- "เศรษฐา ทวีสิน" อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอแนวทางเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโตแกร่งระยะยาว เร่งเพิ่มขีดแข่งขันหนีจีดีพีรั้งท้ายอาเซียน
- แนะ "ขยายเพดานหนี้สาธารณะ" หนุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
- ขยายสนามบินเมืองรอง รับดีมานด์นักท่องเที่ยวต่างชาติ
- ดันสุวรรณภูมิ “Transit Hub”
- เตรียมพร้อมรับมือความท้าทายไทยเกิดน้อย สังคมสูงวัย
- แนะบูรณาการแก้น้ำท่วม-น้ำแล้ง ครอบคลุมทุกมิติคาดใช้เงินราว 7 แสนล้านใน 3-5 ปี เชื่อประชาชนรับได้
สภาวการณ์ประเทศไทย ขณะนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อน ภายใต้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวต่ำอย่างต่อเนื่อง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุจีดีพีไทยปี 2567 ขยายตัว 2.5% และปี 2568 คาดขยายตัว 2.8% อยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ไม่ว่าจะเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้านทั้งในและต่างประเทศ ปัญหาการเมือง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ ผลกระทบจากสงครามทางการค้า
นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ฉายมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยผ่านรายการ “เนชั่นอินไซด์” ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจแย่ลง จากหลายปัจจัย ไม่ว่าเป็นการเมือง ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ปัญหาภายในประเทศ ที่ได้รับผลกระทบเรื้อรังมาจากวิกฤติโควิด-19 ไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามา รวมถึงการเข้ามาของประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสูงมาก
ขณะที่งบประมาณการลงทุนของภาครัฐยังต้องใช้เวลา แต่การลงทุนต่างประเทศนั้นมีสัญญาณที่ดีมาตั้งแต่ปลายรัฐบาลก่อน และต่อเนื่องมาจนถึง “นายกรัฐมนตรีแพทองธาร” เห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น ยุโรป หรือสหรัฐ ล่าสุดนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้เข้าร่วมการประชุม World Economic Forum 2025 ณ เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ และมีเรื่อง FTA ที่เริ่มทยอยออกมาเป็นถือเรื่องที่ดี
“เรื่องของการส่งออก ผมคิดว่าเราเองพยายามสู้อยู่ ส่วน FTA, geopolitics และการเลือกตั้งของสหรัฐ ต้องยอมรับว่าเป็นตัวแปรสำคัญ การมาของโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลกระทบสูงมาก จากการออกมาตรการต่างๆ จาก นโยบายทรัมป์ 2.0 หลังการเลือกตั้งเพื่อเอาใจคนอเมริกันอาจกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งมีการส่งออกไปเม็กซิโกปีละ 9,000 ล้านดอลลาร์ หากเม็กซิโกกระทบไทยก็กระทบด้วย"
ทั้งนี้ การส่งออกเป็นเครื่องยนต์ (engine) สำคัญของไทยมีสัดส่วน 60-70% ของจีดีพี และยังเชื่อมโยงไปถึงการลงทุนของภาครัฐ ปัญหาหนี้สาธารณะที่เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน
"ที่ผ่านมาเราใช้เงินในการเยียวยาจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดคือ โควิดซึ่งใช้ไปเยอะมากเพื่อเยียวยา ไม่ใช่การพัฒนาประเทศ จึงเป็นที่มาของการขยายเพดานหนี้ก่อนหน้านี้ ซึ่งน่ากลัวเพราะปัจจุบันใกล้เต็มเพดาน 70% หากการส่งออกไม่ดีจะส่งผลกระทบต้องขยายเพดานหนี้เร็วขึ้น”
หนี้สาธารณะในต่างประเทศเกิน 100%
นายเศรษฐา ระบุว่า การจะโยกหนี้มาสู่ภาครัฐมากขึ้น คนที่ไม่เห็นด้วยก็มองว่า เป็นการสร้างหนี้ในลูกหลานในระยะยาว แต่ถ้าดูหนี้สาธารณะในสหรัฐเกิน100% อังกฤษ ญี่ปุ่น เกิน 100% เช่นกัน
“สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือ เราใช้เงินอย่างไรมากกว่า ถ้าจะขยายเพดานหนี้ ส่วนตัวเห็นด้วยกับการขยับเพดานหนี้สาธารณะแต่ต้องชัดเจนว่าเอาไปทำอะไร”
การขยายเพดานหนี้นั้น สามารถ “ทำได้” เพื่อรองรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ยกตัวอย่าง การแก้ปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้งแบบบูรณาการ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ หากได้รับการแก้ไขจะส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น
ขยายเพดานหนี้หนุนลงทุนอินฟราฯ
นายเศรษฐา ย้ำว่า การเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ ช่วยให้รัฐลงทุนในโครงการสำคัญต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจระยะยาว เช่น โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้ง ยกตัวอย่าง ทุก 5% ของเม็ดเงิน “1 ล้านล้านบาท” จากการขยายเพดานหนี้ 75% เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้ง ใน 4 มิติ ประกอบด้วย อุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ การเกษตร และภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสมัยใหม่ อย่าง ดาต้าเซนเตอร์ ต้องใช้น้ำมาก ทั้งนี้คาดว่าจะใช้เม็ดเงินในการแก้น้ำท่วม น้ำแล้งราว 7 แสนล้านบาทใน 3-5 ปี
“เชื่อว่าการขยายเพดานหนี้เพื่อรองรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน จะทำให้ประเทศไทยมีความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และการเกษตร จะทำให้ประชาชนยอมรับได้”
เร่งเพิ่มขีดแข่งขันประเทศไทย
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานรองรับเศรษฐกิจในระยะยาวสำคัญมาก โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน
นายเศรษฐา อธิบายว่า ปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังวิกฤติโควิดที่ต้องใช้เงินเยียวยาผลกระทบ การขยายเพดานหนี้สาธารณะ จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในการรองรับการลงทุนที่สำคัญเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว แม้ว่าอาจจะส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศ แต่ถ้าการขยายหนี้นั้นมีแผนที่ชัดเจนในการใช้เงินลงทุนในโครงการที่สร้างผลตอบแทนสูง และมีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระยะยาว และลดหนี้สาธารณะลงได้เมื่อ GDP ขยายตัว
“ผมเชื่อว่าประเด็นไม่ใช่ขึ้นเพดานหนี้เป็น 70%, 75% หรือ 80% แต่ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่อธิบายว่า เราจะนำไปใช้ทำอะไรมากกว่า และในระยะยาว 5-10 ปีข้างหน้า GDP เราขยับขึ้นไปเท่าไร และในระยะยาวหนี้สาธารณะจะลดลง”
อย่างไรก็ตาม การขยายเพดานหนี้เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ก็ต้องถามกลับว่า ทำได้ไหม? “ฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารต้องนั่งพูดคุยกันให้ดี เพราะเรื่องคณิตศาสตร์การเมืองก็มีความสำคัญ แต่ในฐานะประชาชนคนไทยอยากเห็นแผนระยะยาว”
ขณะที่ ต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมสมัยใหม่ อย่าง ไมโครชิป ดาต้าเซนเตอร์ เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน น้ำ ไฟฟ้า มีความสำคัญมาก ดังนั้น แค่ใส่ใจยังไม่พอ ต้องใส่เงินด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาเรื่องน้ำซึ่งคนยังพูดถึงน้อย
เตรียมความพร้อมรับความท้าทาย
นอกจากนี้ สถานการณ์ที่ประเทศไทยต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ยังถูกท้าทายจาก “สังคมสูงวัย” และการลดลงของจำนวนประชากร ล้วนส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ และการพัฒนาในระยะยาว ดังนั้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตประเทศในระยะยาวอีกด้วย
จากข้อมูลปี 2567 พบว่า อัตราการเกิดต่ำกว่า 500,000 คนเป็นครั้งแรก แนวโน้มประชากรลดลง อีก 50 ปี ประเทศไทยจะมีจำนวนประชากร 37 ล้านคน ลดลงจากปัจจุบันที่มีจำนวน 60 ล้านคน สะท้อนปัญหาของประเทศในอนาคตได้เป็นอย่างดี
ปรับภาษีรั้งคนเก่ง-ดึงต่างชาติ
ในมุมอดีตนายกฯ ยังแนะนำถึงแนวทางการปรับโครงสร้างอัตราภาษีเหมือนสิงคโปร์ เพื่อดึงดูดการลงทุน และ “คนเก่ง” เข้ามาประเทศไทย ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทย
"ระบบภาษีที่จูงใจจะสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถยังคงอยู่ในประเทศ และดึงคนต่างชาติสนใจเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อตัวเลข GDP ของประเทศ ปัญหามันเยอะแต่ไม่ใช่แก้ไม่ได้ เราค่อยๆ ทำทีละอย่าง ต้องมีความวิริยะอุตสาหะในการที่จะพูดเพื่อสื่อสารในทางที่ถูกต้อง”
ท่องเที่ยวเครื่องยนต์บูสต์เศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ดี โครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไทยที่ผ่านมาอันดับหนึ่งคือ การส่งออก อีก 15-20% เป็นเรื่องของ “การท่องเที่ยว” ซึ่งนโยบายของ “นายกฯ แพทองธาร” การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอีกจากแนวทางการพัฒนาเมืองรอง เหมือนในประเทศฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ที่มีไฟลต์บินต่อเพื่อไปเที่ยวในเมืองต่างๆ หรือมี “รถไฟฟ้า” ที่สะดวกสบายในการเดินทางเชื่อมต่อเมือง
"การท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในระยะยาว ไม่ต้องพูดถึงเชียงใหม่ หัวหิน ภูเก็ต พัทยา เพราะเป็นจังหวัดที่มีคนไปอยู่แล้ว แต่ที่น่าให้ความสำคัญคือ เมืองรอง ตอนผมเป็นนายกฯ ก็เพิ่งรู้ว่ามีแต่สนามบินเล็ก หากสามารถขยายรันเวย์ได้ จะสามารถนำเครื่องใหญ่ลงได้ หรือถ้ามีรถไฟฟ้าความเร็วสูง การเดินทางก็ไม่ต้องเร่งกลับ สามารถอยู่ได้ยาวขึ้น จะเห็นว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ”
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า นโยบายรถไฟฟ้าความเร็วสูง สามารถช่วยการส่งออกจากที่ต่างๆ ไปประเทศจีน รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวจะได้ประโยชน์สูง
“ที่ผ่านมา เราไม่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมานานตั้งแต่สร้างสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว นานมากตั้งแต่คุณทักษิณ เป็นนายกฯ คุณสุริยะเป็นรัฐมนตรี ล่าสุดคุณสุริยะกลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกครั้ง”
แนะปั้นสุวรรณภูมิเป็น "Transit Hub"
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้มีการขยายพื้นที่ ถือว่าโชคดีที่ทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มจากเดิม 65 ล้านคนต่อปี เป็น 150 ล้านคนต่อปี และต้องลงทุนอีกพอสมควร ไม่ใช่ลงทุนแค่ให้เครื่องบินลงอย่างเดียวแต่ต้องเป็น "Transit Hub" ให้ทุกคนได้เข้ามาเยือน และเป็นการกระจายสินค้าส่งออกในอาเซียน รวมทั้งคาร์โก้, Cold Chain, Storage, Private Jet ซึ่งหลายสายการบินติดต่อเข้ามาให้เป็น "ศูนย์ซ่อม" ถือเป็นโอกาสที่ทำให้คนรุ่นใหม่ได้มีอาชีพ
แน่นอนว่าทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ต้องการงบลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนใหม่มีสัดส่วนเพียงแค่ 20% ถือว่า "น้อยมาก" แต่สิ่งที่ทำให้สามารถยกระดับจีดีพีประเทศไทยได้ต้องลงทุนวันนี้ เพราะหากไม่มีการลงทุนจีดีพีไม่โต ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มีการลงทุนจำนวนมากส่งผลให้ จีดีพีขยายตัวมากกว่า 5%
ต่อยอดไทย “TOP5” เดสติเนชันเมืองท่องเที่ยว
ขณะที่ “โครงการแลนด์บริดจ์” เท่าที่ทราบจากนายกฯ แพทองธาร ตอนไป “ดาวอส” มีคนสนใจ “ผมเชื่อว่าเป็นโครงการที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ เพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทำความเข้าใจกับพื้นที่ภาคประชาคม”
ปัจจุบันผลสำรวจทุกโพล ยกให้ไทยเป็น “TOP 5” เดสติเนชัน เมืองท่องเที่ยว ไม่ ภูเก็ต ก็ สมุย หรือเมืองที่คนอยากมาเยือน อย่าง กรุงเทพฯ ถือเป็นเรื่องที่ดี โดยปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทย 35.5 ล้านคน ปี 2568 คาดการณ์ 39 ล้านคน
“ผมไม่อยากให้ดูจำนวนนักท่องเที่ยวแต่อยากให้ดูระยะเวลาที่อยู่ ดูการใช้จ่ายต่อหัว ถ้าถามผมคิดว่าแย่ เพราะว่าค่าเครื่องบินแพง นักเที่ยวเคยจ่าย 25% เป็นค่าเครื่องบินวันนี้ ต้องจ่ายเพิ่ม 30-40% ที่เหลือต้องมากินมาใช้ขณะที่งบเท่าเดิม”
ลงทุนพัฒนาสนามบินเมืองรอง
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่มีหลายเมืองรองที่ยังไม่มีสนามบินรองรับ หรือรองรับได้เพียงพอ ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ดังนั้นไทยควรลงทุนพัฒนาสนามบินใหม่ในเมืองรองไม่ว่าจะกระบี่ พังงา หรือการขยายสนามบินภูเก็ต เพื่อรองรับดีมานด์นักท่องเที่ยวในอนาคต
ปัจจุบันสนามบินภูเก็ตมีเครื่องลงชั่วโมงละ 25 ไฟลต์ถือว่า “พีกสุด” อนาคตภูเก็ตอาจเป็นสนามบินในประเทศ หากมีการสร้างสนามบินใหม่ นอกจากนี้ยังต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบราง เพื่อความสะดวกในการเดินทาง การพัฒนาร้านค้า ที่เก็บขยะ เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
“ถ้านักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วเจอหาดทรายสวยงามแต่ต้องติดอยู่บนถนน 3 ชั่วโมง น้ำ ไฟ ไม่พอใช้ ขยะเต็มเมือง คงไม่ดี ดังนั้นโครงสร้างพื้นฐานจึงเป็นเรื่องสำคัญ”
นายเศรษฐา กล่าวทิ้งท้าย โดยเชื่อว่าประชาชนจะรับได้กับการขยายเพดานหนี้สาธารณะ หากอธิบายถึงแผนใช้เงินที่ชัดเจน และเห็นผลลัพธ์ในระยะยาวว่า “การลงทุนเหล่านั้นจะนำไปสู่การสร้างโอกาสในการพัฒนาประเทศ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์