‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ เร่งระบายสต็อก เบรกคอนโด เปิด 4 โครงการใหม่ ต่ำสุดรอบ 20 ปี

‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ เร่งระบายสต็อก เบรกคอนโด เปิด 4 โครงการใหม่ ต่ำสุดรอบ 20 ปี

ภาวะเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโตต่ำระดับ 2.9% ภายใต้แรงกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ที่ปรับสูงขึ้น ยิ่งเพิ่มความยากลำบากในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ทำให้ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังการลงทุน

นพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) ฉายภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ว่า อยู่ในภาวะ “ทรงตัว” แม้จะมีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่คาดการณ์เติบโตประมาณ 2.9% และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นผลจากการลงทุนของภาครัฐและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แต่เครืื่องยนต์เศรษฐกิจใหญ่อย่างการส่งออก “ชะลอตัว” ทำให้เศรษฐกิจเติบโตไม่สูงมากนัก ทั้งยังเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิม

ขณะที่ความต้องการซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับแรงกดดันจากสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) และภาวะหนี้ครัวเรือนสูงทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ยอดปฏิเสธสินเชื่อ หรือ รีเจกต์เรตสูง! 

โดย แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตัวเลขรีเจกต์เรตเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 20% ในทุกกลุ่มระดับราคา สะท้อนว่าตลาดยังมีความเสี่ยง! ดังนั้นผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญในการรักษา “สภาพคล่อง” และ “ระมัดระวัง” ในการลงทุนพัฒนาโครงการภายใต้สภาวะเศรษฐกิจยังคง “ชะลอตัว”

“3-4 ปีที่ผ่าน เราทยอยลดการพัฒนาโครงการลงมาเรื่อยๆ จากอดีตเคยเปิด 15-16 โครงการต่อปี เหลือ 11-12 โครงการ ล่าสุดลงมาที่ 4 โครงการ เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี เราพยายามบาลานซ์พอร์ตให้เหมาะสม”

‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ เร่งระบายสต็อก เบรกคอนโด เปิด 4 โครงการใหม่ ต่ำสุดรอบ 20 ปี

นพร สุนทรจิตต์เจริญ

เบรกคอนโด! เปิด 4 โครงการใหม่ เน้นบ้านเดี่ยว

วัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร กล่าวเสริมว่า แผนเปิดโครงการใหม่เน้น “บ้านเดี่ยว” 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท ทำเลกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูเก็ต จะเห็นว่า “ลดลง” ถึง 64% จากปีที่ผ่านมา ที่มีการเปิดตัว 12 โครงการใหม่ มูลค่า 30,850 ล้านบาท

โครงการใหม่ในปีนี้ ประกอบด้วย สีวลี บางนา กม.13 จำนวน 326 หลัง มูลค่า 3,040 ล้านบาท วีเว่ ภูเก็ต 36 หลัง มูลค่า 1,300 ล้านบาท วีเว่ กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ 73 หลัง มูลค่า 4,620 ล้านบาท และ นันทวัน ราชพฤกษ์-พรานนก 34 หลัง มูลค่า 2,220 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน 

โดยเป้าหมายปีนี้ ทำยอดขาย 23,000 ล้านบาท ยอดโอน 20,000 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าที่คาดว่าจะมีรายได้ 9,240 ล้านบาท

“การลงทุนใหม่ปีนี้ชะลอตัวลงเพราะบริษัทมีสินค้าเหลือขายพอรองรับดีมานด์ โครงการใหม่ทั้งหมดจะเป็นบ้านเดี่ยว เบ็ดเสร็จเมื่อรวมกับโครงการในปัจจุบัน มีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการทั้งหมด 75 โครงการ มูลค่ารวม 93,000 ล้านบาท”

ปัจจุบันสินค้าหลักของบริษัทยังเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ สัดส่วน 80% คอนโดมิเนียม 20% อยู่ในกรุงเทพฯ 88% โดยกลุ่มราคา 10 ล้านบาท มีสัดส่วนเกิน 50% ของพอร์ต และในปี 2568 “ไม่มีแผนเปิดตัวโครงการคอนใหม่"

‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ เร่งระบายสต็อก เบรกคอนโด เปิด 4 โครงการใหม่ ต่ำสุดรอบ 20 ปี

วัชริน กสิณฤกษ์

โชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด กล่าวเพิ่มเติมว่า ปี 2567 มีคอนโดมิเนียมพร้อมขาย 6 โครงการ มูลค่า 13,500 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมพร้อมโอน 5 โครงการ รวม 6,200 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมียอดขายจากคอนโดมิเนียม 3,400 ล้านบาท มีสัดส่วน 20% ของพอร์ตรายได้รวม

‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ เร่งระบายสต็อก เบรกคอนโด เปิด 4 โครงการใหม่ ต่ำสุดรอบ 20 ปี

โชคชัย วลิตวรางค์กูร

 

อัดงบลงทุนอสังหาฯ ให้เช่า-บริการ 8.5 พันล้าน

อาชวิณ อัศวโภคิน รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน กล่าวว่า ปี 2568 บริษัทเดินหน้า “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและบริการ” ต่อเนื่อง และลดระดับหนี้สินต่อทุน โดยเตรียมงบลงทุน 8,500 ล้านบาท ประกอบด้วย งบสำหรับซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 4,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าอีก 4,500 ล้านบาท

จากปี 2567 มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าและบริการ มูลค่า 5,800 ล้านบาท ได้แก่ การเข้าซื้อโรงแรม เรสซิเดนส์ อินน์ แมนฮัตตัน บีช 2,400 ล้านบาท การพัฒนาโครงการ แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี เป็นมิกซ์ยูส 2,100 ล้านบาท และการพัฒนาธุรกิจโรงแรมและอพาร์ตเมนต์อื่นๆ อีก 1,300 ล้านบาท

เมื่อเดือน พ.ย. ยังได้ขายศูนย์การค้า เทอร์มินัล 21 พัทยา ให้ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ (LHSC) มูลค่า 5,680 ล้านบาท ผ่านการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุน แต่เนื่องจากความต้องการหน่วยทรัสต์ของนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยมีมากเกินคาดหมาย จึงส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนใน LHSC ของบริษัทฯ ปรับเปลี่ยนจาก 9% เป็น 7.8%

‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ เร่งระบายสต็อก เบรกคอนโด เปิด 4 โครงการใหม่ ต่ำสุดรอบ 20 ปี

อาชวิณ อัศวโภคิน

 

กางแผน 3 ปี เปิด 3 โรงแรมใหญ่

เมื่อเจาะพอร์ตกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและบริการ มีโครงการที่พัฒนาภายใต้การบริหาร 18 แห่ง ประกอบด้วย “โรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์” เปิดดำเนินการแล้ว 7 แห่งในไทย ซึ่งขายเข้ากองทรัสต์ 6 แห่ง อีก 1 แห่งคือโรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์ เปิดให้บริการปลายปี 2566 อยู่ระหว่างสร้างผลการดำเนินงานที่ดีในช่วง 3 ปีแรกก่อนขายเข้ากองทรัสต์

นอกจากนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 แห่ง แต่ละแห่งมีขนาดใหญ่มากกว่า 500 ห้องพัก มูลค่าลงทุนรวม 13,700 ล้านบาท เป็น โครงการมิกซ์ยูส แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี ลงทุน 4,800 ล้านบาท ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน 12,700 ตารางเมตร กับโรงแรม 512 ห้อง เปิดบริการ 1 เม.ย.นี้ ส่วนโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ราชดำริ 2 ลงทุน 4,600 ล้านบาท กำหนดเปิดไตรมาส 1 ปี 2569 และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา 3 ลงทุน 4,300 ล้านบาท เปิดไตรมาส 1 ปี 2570

“เรามองธุรกิจโรงแรมในอนาคตจะดีต่อเนื่อง ทั้งในแง่ราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ราว 4,000-7,000 บาท/ห้อง/คืน โรงแรมในกรุงเทพฯ ดีทุกแห่ง พัทยาก็เช่นกัน เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ไม่มีซีซัน อัตราเข้าพักดีตลอดปี แลนด์แอนด์เฮ้าส์จึงมองการลงทุนใน 2 เมืองนี้เป็นหลักด้วยการเปิดโรงแรมอีก 3 แห่งใหม่ ไซส์ใหญ่ 500 ห้องพักต่อแห่ง เพื่อความประหยัดทางขนาด”

ขณะที่ “ศูนย์การค้า เทอร์มินัล 21” ปัจจุบันมี 3 แห่ง ขายเข้ากองทรัสต์ 2 แห่ง คือ อโศก และพัทยา มีผลการดำเนินงานดีขึ้น ทราฟฟิกต่อวัน 50,000 คน และ 40,000 คนตามลำดับ อีก 1 แห่ง พระราม 3 “ยังเหงื่อแตกอยู่” ปัจจุบันมีทราฟิก 20,000 คนต่อวัน ต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการลงทุนสร้างฟาซิลิตี้ “ท่าเรือ” หลักร้อยล้านบาทเพื่อดึงนักท่องเที่ยว พร้อมจัดแสงสียามค่ำคืน เมื่อปรับปรุงแล้วอยากได้ทราฟฟิกเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่อโศกและพัทยา 

ทั้งนี้ยังไม่มีแผนเปิดศูนย์การค้า เทอร์มินัล 21 ในเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เพิ่ม!

ด้านลงทุนต่างประเทศ ปัจจุบันมีอพาร์ตเมนต์และโรงแรมใน “สหรัฐ” 5 แห่ง มูลค่าลงทุนรวม 480 ล้านดอลลาร์ เป็นอพาร์ตเมนต์ 3 แห่ง และโรงแรม 2 แห่ง จะมีการปรับพอร์ตการลงทุนในสหรัฐ ด้วยการลดสัดส่วนของอพาร์ตเมนต์ลงตามสถานการณ์หลังผ่านการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะคนส่วนใหญ่ยังคงรูปแบบการทำงานแบบเวิร์ค ฟอร์ม โฮม ทำให้บริษัทเน้นธุรกิจ “โรงแรม” และมองการซื้อกิจการโรงแรมในสหรัฐเพิ่ม รับโอกาสการเติบโตของการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ

บริษัทฯ ยังมีแผนจะออกหุ้นกู้มูลค่า 12,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด คาดว่า ณ สิ้นปีนี้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิจะอยู่ในระดับ 1.0 เท่า ซึ่งลดลงจากสิ้นปี 2567

“บริษัทฯ ยังคงมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงจากการบริหารจัดการสภาพคล่องที่ดีและจากสินทรัพย์ลงทุนที่มีอยู่ โดยปีที่ผ่านมาได้ออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.14% ต่อปี เพื่อใช้หมุนเวียนในการดำเนินงาน ณ สิ้นปี 2567 มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ 67,000 ล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 1.3 เท่า และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 3.11%”