ไขปม 'เช่าที่ดินยาว 99 ปี - ซื้อคอนโดฯ 75%' แนะวางเงื่อนไขสกัดนอมินี - จำกัดทำเล

ผู้ประกอบการอสังหาฯ เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยขยายสิทธิเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี เพิ่มโควตาซื้อคอนโดมิเนียม 75% ชี้ข้อดี “จูงใจลงทุน” หนุนกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องวางเงื่อนไขเข้มสกัด “นอมินี” แนะจำกัดทำเล - สิทธิโหวตเสียง
นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยต้องการ การลงทุนจากต่างประเทศทําให้ความต้องการด้านความมั่นคงของที่อยู่อาศัยมีมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมามีข้อเสนอให้ชาวต่างชาติ 4 กลุ่ม คือ กลุ่มความมั่งคั่งสูง กลุ่มเกษียณอายุ และยังคงมีรายได้ประจำ กลุ่มคนทำงานออนไลน์ และต้องการพำนักในประเทศไทย กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยได้ไม่เกิน 1 ไร่ และมีประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI : 6/2565) เรื่องการให้นิติบุคคลต่างด้าวที่ได้รับ BOI สามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งสำนักงาน และที่พักของผู้บริหาร และคนงานได้
ประกาศฉบับนี้มีมาต่อเนื่องในหลายรัฐบาลตั้งแต่ปี 2544 รวมถึงได้เสนอให้แก้ไขมาตรการเรื่องชาวต่างชาติ ที่นำเงินมาลงทุน 40 ล้านบาทตามเงื่อนไข สามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยเสนอปรับหลักเกณฑ์ระยะเวลาการลงทุน มาตรการดังกล่าวมีมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2545 เช่นเดียวกัน
“ทั้ง 3 มาตรการดังกล่าวข้างต้นรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการขายชาติ แม้ว่าประกาศหรือกฎหมายบางฉบับ ข้างต้น ประกาศใช้มานานแล้ว รัฐบาลจึงยกเลิกการแก้ไขกฎหมายที่จะให้คน 4 กลุ่มสามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้”
แก้นอมินี - ตอบโจทย์การตัดสินใจคุ้มค่า
ที่ผ่านมา มีกรณีที่มีการตรวจจับสํานักงานบัญชี และกฎหมายที่มีการจัดตั้งบริษัทสัญชาติไทย เพื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แทนชาวต่างชาติโดยผิดกฎหมายโดยใช้ตัวแทน (นอมินี) ซึ่งเป็นบุคคลหรือในรูปของนิติบุคคล ทําให้ประเทศไม่ได้รับรายได้จากภาษี และค่าธรรมเนียมฯ ตามที่ควรจะได้รับ
ปัจจัยดังกล่าวเป็นที่มาของการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวกับการเช่าระยะยาว 3 ฉบับคือ
1.ประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ ปี 2468 ซึ่งบังคับใช้มาเป็นเวลา 99 ปีแล้ว กำหนดเวลาเช่าไว้ไม่เกิน 30 ปี และเป็นบุคคลสิทธิ หากผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตลงสัญญาเช่าเป็นอันสิ้นสุด สัญญาเช่าเป็นมรดกตกทอดไม่ได้ และใช้เป็นหลักประกัน กับสถาบันการเงินได้ยาก เพราะระยะเวลา สั้นเกินไป ทำให้หลักประกันมีความด้อยค่าลง
2.พระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม 2542 ซึ่งกำหนดเวลาเช่าไว้ไม่เกิน 50 ปี และสามารถต่อระยะเวลาการเช่าออกไปอีกมีกำหนดไม่เกิน 50 ปี พ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงมีกรอบเวลาการเช่าที่ประมาณ 99 ปี และ พ.ร.บ. ฉบับนี้มีลักษณะเป็นทรัพยสิทธิคือ สิทธิและหน้าที่ตามการเช่า ตกแก่ทายาทได้ ผู้เช่าจะให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิการเช่าทั้งหมด หรือบางส่วนให้แก่บุคคลภายนอกได้ สิทธิการเช่าสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้โดยการจำนองได้
3.พระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิ 2562 มีลักษณะเป็นทรัพยสิทธิ คล้ายกับ พ.ร.บ. การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม แต่มีกำหนดเวลาให้เช่าไม่เกิน 30 ปี และการเช่าสามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัย หรือกิจกรรมอื่นๆ ได้ จึงได้เสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. ทรัพย์อิงสิทธิ โดยการขยายระยะเวลาเช่า และการเช่า
แนะออกเงื่อนไขกำกับสกัดนอมินี
กรณีผู้เช่าเป็นคนไทย 1.ควรจะให้ทำประโยชน์ได้หลายประการ เช่น ทำการเกษตรระยะยาว การปลูกป่าถาวรเพื่อใช้เป็นคาร์บอนเครดิต หรือใช้เพื่อการอยู่อาศัย เพื่อพาณิชยกรรม และอุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยผู้ให้เช่า ผู้เช่ายืดหยุ่นเวลาได้ตามขนาดของการลงทุน และเมื่อเป็นทรัพยสิทธิก็สามารถใช้ เป็นหลักประกันชำระหนี้โดยการจำนองได้ สิทธิการเช่าตกแก่ทายาทได้ให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิการเช่าบางส่วนหรือทั้งหมดได้
“หากเกรงว่าจะเกิดการใช้นอมินีที่เป็นคนไทยเป็นผู้เช่า และทําให้ชาวต่างชาติสามารถทําการเกษตรได้ ก็อาจแก้ไขได้โดยกําหนดให้เช่าเพื่อที่อยู่อาศัยเท่านั้น ซึ่ง จะทําให้ผู้เช่าที่เป็นคนไทย เสียประโยชน์สําหรับการใช้เพื่อการเกษตรระยะยาว และการลงทุนอื่น”
2.กรณีการจัดสร้างที่อยู่อาศัย ของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งที่ดินเป็นของหน่วยงาน องค์กรของรัฐ หรือเอกชน ก็สามารถนําสัญญาเช่าระยะยาว เกินกว่า 30 ปีและเป็นทรัพยสิทธิ ใช้เป็นหลักประกันในการจํานอง และผ่อนชําระ กับสถาบันการเงินได้ เพราะมีระยะเวลายาวเพียงพอ ที่จะทําให้สิทธิการเช่ายังไม่ด้อยค่าลง
เก็บภาษีจัดตั้งกองทุนเพื่อผู้มีรายได้น้อย
สำหรับเงื่อนไขการเช่ากรณีเป็นชาวต่างชาติ 1.จํากัดเนื้อที่เช่า เช่นไม่เกิน 1 ไร่ 2.ใช้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้นหากไม่ปลูกสร้างหรืออยู่อาศัยใน 3 ปี จัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราสูงสุด ตามที่กําหนดในกฎหมายคือ 3% ต่อปี เพื่อป้องกันการเก็งกําไร 3.กําหนดอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการ ในการจดทะเบียนเช่า และการเสียค่าธรรมเนียมหรือเสียภาษี ประจําปีสูงกว่าอัตราที่คนไทยต้องเสีย
โดยนํารายได้เหล่านั้นมา จัดตั้งเป็นกองทุนที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยเช่น สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ย 0% 3 ปีแรก หรือจัดตั้งเป็นกองทุนคํ้าประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย(Mortgage Insurance) หรือเป็นเงินอุดหนุน การซื้อที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยโดยตรง
“ส่วนข้อเสนอที่ให้ขยายระยะเวลาเช่าเกินกว่า 30 ปี และกรอบเวลาการเช่าสูงสุดจะเป็น 99 ปีหรือไม่นั้น เชื่อได้ว่าสภาผู้แทนราษฎร จะต้องรับฟังความเห็นโดยรอบด้าน ถึงผลดีผลเสียของการขยายระยะเวลาเช่า และความเหมาะสมของระยะเวลาการเช่า”
ข้อเสนอให้พิจารณาขยายระยะเวลาเช่า เป็นการวางโครงสร้างใช้ประโยชน์ที่ดินในระยะยาว ทั้งของคนไทยเองและรองรับการอยู่อาศัยของชาวต่างชาติให้เป็นอย่างถูกต้อง โดยมีช่องทางการเช่าระยะยาว แทนการถือครองกรรมสิทธิ์โดยผิดกฎหมาย (นอมินี)ของชาวต่างชาติ ทําให้เกิดความสุจริต โปร่งใส และ สามารถนํารายได้มาใช้ประโยชน์ เพื่อสนับสนุนการอยู่อาศัยของผู้รายได้น้อย หรือพัฒนาประเทศ ในด้านอื่นๆ และมิได้เป็นไปเพื่อการแก้ปัญหาของภาคธุรกิจ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะการแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าว อาจต้องใช้เวลาหลายปี
มาตรการทูอินวันกระตุ้นเศรษฐกิจ-อสังหาฯ
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กระทรวงมหาดไทยไปศึกษาความเป็นไปได้ เพื่อหาทางปรับแก้กฎหมาย 2 ฉบับเพื่อให้ออกมาช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ที่กำลังประสบปัญหาชะลอตัวรุนแรง เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อมที่รัฐบาลมองไว้แบบนั้น โดยการปรับแก้กฎหมายที่กล่าวไปแล้วนั้นเกี่ยวข้องกับ 2 เรื่องดังนี้
1.การพิจารณาทบทวนการกำหนดระยะเวลาของทรัพย์อิงสิทธิตามพระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิปี 2562 โดยกำหนดให้ทรัพย์อิงสิทธิมีกำหนดเวลาได้ไม่เกิน 99 ปี 2.การพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิคนต่างด้าวสามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด จากเดิมไม่เกิน 49% เป็นไม่เกิน 75%
เรื่องการขยายระยะเวลาของทรัพย์อิงสิทธิจากเดิมตามที่ระบุในมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิปี 2562 ว่า ทรัพย์อิงสิทธิมีกำหนดเวลาได้ไม่เกิน 30 ปี เปลี่ยนเป็นขยายเวลาออกไปถึง 99 ปี ซึ่งเท่ากับว่าการเช่าอสังหาริมทรัพย์ใดก็ตามจะสามารถเช่าเป็นระยะเวลา 99 ปี แต่ต้องมีการก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิโดยต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
สร้างแรงจูงใจนักลงทุนเช่าระยะยาว
เรื่องนี้น่าจะสร้าง “แรงจูงใจ” ให้ชาวต่างชาติ หรือนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอสังหาฯ มากขึ้น เพราะมั่นใจได้ว่าที่ดินที่เช่าระยะยาวจากเจ้าของที่ดิน จะมีสิทธิบนที่ดินนั้นเป็นรองจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินหรืออสังหาฯ เท่านั้น และยังสามารถนำอสังหาฯ ไปทำเรื่องขอสินเชื่อเพื่อนำมาพัฒนาโครงการได้ รวมไปถึงการขอสินเชื่อเพื่อเช่าระยะยาวในกรณีที่ไม่ได้เป็นอสังหาฯ เพื่อการลงทุน
การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินของชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามมีปัญหามานาน เพราะไม่ค่อยมีสถาบันการเงินในประเทศไทยให้สินเชื่อกับชาวต่างชาติ ระยะเวลาการเช่าที่ดินหรืออสังหาฯ ในไทยที่อาจยาวนานมากถึง 99 ปี ในกรณีที่ก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิ์ซึ่งอาจจะแตกต่างจากการเช่าที่ดินหรืออสังหาฯ ในบางประเทศที่เปิดให้เช่าได้ 50-90 ปี โดยไม่ต้องก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิ เช่น ประเทศ เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา ให้ต่างชาติเช่าได้ 50 ปี
ยกเว้นในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่อาจได้นานถึง 70 ปีแบบในเวียดนาม ในลาวที่เคยให้สัมปทานเขตเศรษฐกิจพิเศษยาวนานถึง 99 ปี ก็ลดลงเหลือ 50ปีแล้วในกฎหมายลงทุนฉบับใหม่ แต่บางประเทศอาจได้เพียง 30 ปี เช่น อินโดนีเซีย หรือสิงคโปร์ อาจได้ 60 ปีในปัจจุบัน ที่ดินแปลงใหญ่ของรัฐบาล หน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นในกรณีที่ถ้าก่อตั้งทรัพย์อิงสิทธิได้แล้วจะสามารถเช่าได้ยาวนานถึง 99 ปี
แนะจำกัดทำเล-ราคาขายสูงกว่าคนไทย
ส่วนเรื่องของการเพิ่มสัดส่วนของชาวต่างชาติในการถือครองคอนโดมิเนียมจากเดิมไม่เกิน 49% เป็นไม่เกิน 75% อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเมื่อปี 2542 มีการออกพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 3) ปี 2542 ซึ่งมีแก้ไขมาตรา 19 ทวิ โดยเนื้อหาใจความว่า “อาคารชุดใดที่จะมีคนต่างด้าว และหรือนิติบุคคลต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดเกินกว่าอัตราที่กําหนดไว้ในวรรคหนึ่ง (อัตราร้อยละสี่สิบเก้าของเนื้อที่ของห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุดนั้น) อาคารชุดนั้นจะต้องตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเทศบาล หรือเขตราชการส่วนท้องถิ่นอื่นที่กําหนดในกฎกระทรวง และมีที่ดินที่ตั้งอาคารชุดรวมกับที่ดินที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสําหรับเจ้าของร่วมทั้งหมดไม่เกินห้าไร่”
ซึ่งในพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 3)ปี 2542 มีการระบุชัดเจนในเรื่องของระยะเวลาที่อนุโลมให้ชาวต่างชาติถือครองห้องชุดหรือคอนโดมิเนียมได้เกิน 49% ว่า “เมื่อครบกําหนดเวลาห้าปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา 19 ทวิ วรรคสอง” แล้วกลับไปใช้ตามที่ระบุในพระราชบัญญัติอาคารชุดปี 2522 เรื่องที่ชาวต่างชาติสามารถถือครองคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร เขตเทศบาลได้มากกว่า 49% จึงมีช่วงเวลาระหว่างปี 2542-2547 ซึ่งจากการสอบถามและข้อมูลต่างๆ นั้น “ไม่มี” โครงการใดที่มีต่ างชาติถือครองหมด 100% ในช่วงเวลานั้น
ปัจจุบัน ตลาดคอนโดมิเนียมของไทยแตกต่างจากปี 2542-2547 มาก ชาวต่างชาติเข้ามาเป็นกลุ่มผู้ซื้อสำคัญของตลาดคอนโดมิเนียม การจะปล่อยให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครองคอนโดมิเนียมได้มากขึ้นแต่ไม่เกิน 75% อาจต้องมีข้อบังคับหรือระเบียบเพิ่มเติม "ไม่ใช่” เข้ามาซื้อได้ในทุกพื้นที่ของไทย อย่างน้อยควรระบุแบบที่เคยประกาศในพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 3)ปี2542 คือ เฉพาะในกรุงเทพฯ เขตเทศบาล หรือเขตราชการส่วนท้องถิ่นอื่นที่กําหนด หรือมีข้อกำหนดในเรื่องของราคาขายที่ควรให้อยู่ในระดับที่มากกว่าราคาขายคนไทย
“เพื่อจะได้ไม่เข้ามาเป็นคู่แข่งของกลุ่มผู้ซื้อคนไทยแบบในอินโดนีเซีย กำหนดราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป มาเลเซีย 16 ล้านบาท เพื่อจะได้ไม่แย่งคนไทยโดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางซื้อ ผู้ประกอบการที่ต้องการขายชาวต่างชาติก็ไปพัฒนาโครงการระดับราคาแพงขายไปเลยรวมไปถึงต้องมีการกำหนดอัตราค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนอง หรือภาษีที่เกี่ยวข้องในอัตราที่สูงกว่าคนไทย และควรกำหนดให้ถือครองอยู่ 3 ปีขึ้นไปจึงจะสามารถขายต่อได้”
จำกัดสิทธิในการโหวตเสียง
อีกทั้งควรกำหนดให้ชาวต่างชาติเจ้าของคอนโดมิเนียมต้องมาพักอาศัยในคอนโดมิเนียมที่ซื้อในระยะเวลามากกว่าเพียงไม่กี่วัน อีกทั้งอาจกำหนดให้สัดส่วนการถือครองที่มากกว่า 49% ไม่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมของโครงการเพื่อที่จะได้ไม่มีสิทธิหรือออกกฎระเบียบเอื้อชาวต่างชาติเกินไป อีกเรื่องที่สำคัญที่สุด คือ การบังคับใช้ควรมีระยะเวลาชัดเจนเหมือนปี 2542 ซึ่งขณะนั้นต้องการกำลังซื้อต่างชาติเข้ามากระตุ้นตลาดอสังหาฯ จากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540
การจะปล่อยหรือขยับสัดส่วนการถือครองคอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติให้ถึงไม่เกิน 75% ควรมีมาตรการออกมาควบคู่กัน เพราะปัจจุบัน ผู้ประกอบการหลายรายอาจมีการพัฒนาโครงการโดยหวังกำลังซื้อต่างชาติมากกว่าคนไทย มองกำลังซื้อต่างชาติในสัดส่วน 49% โดยพยายามขายในส่วนนี้ให้หมดโดยเร็ว แล้วทยอยขายที่เป็นสัดส่วนของคนไทย และอาจมีการตั้งนอมินีในรูปแบบของนิติบุคคลเกิดขึ้นเพื่อเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในส่วนของโควตาคนไทย การเปลี่ยนโควตาเป็นไม่เกิน 75% อาจช่วยแก้ปัญหาคอนโดมิเนียมเหลือขายในตลาดได้ ผู้ประกอบการได้ประโยชน์แน่นอน
“แต่ถ้าเป็นการแก้ไขแบบถาวรไม่มีระยะเวลา อาจกระทบในระยะยาวที่อาจมีแต่โครงการที่เปิดขายโดยหวังกำลังซื้อชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย มีผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมขยายตัวตามความต้องการของชาวต่างชาติ ไม่ได้เกิดจากกำลังซื้อของคนในประเทศเป็นหลัก และอาจเห็นผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาในไทยมากขึ้น โดยเข้ามาด้วยตัวพวกเขาเองไม่ใช่การร่วมทุน แล้วนำกลุ่มผู้ซื้อของชาติตนเองเข้ามาด้วย แน่นอนว่าในระยะยาวอาจมีปัญหาการทำงาน การใช้ชีวิต หรือสวัสดิการต่างๆ ที่มีผลกระทบกับคนไทยได้”
เห็นด้วยเพิ่มโควตาคอนโดแต่กังวลเช่าระยะยาว
นายกีรติ ศตะสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การฟื้นตัวเศรษฐกิจความถี่ของการขึ้นลงในและประเทศแตกต่างกันขึ้นนโยบายรัฐบาลและสภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ประเทศที่พัฒนาช้าหรือด้อยพัฒนาเวลาขึ้นจะขึ้นดีแต่เวลาเศรษฐกิจขาลงจะซึมยาว แต่มั่นใจในรัฐบาลและภาคเอกชนไทยที่ร่วมมือกันทำให้เศรษฐกิจไทยรอบนี้ฟื้นตัวเร็วจะสร้างความมั่นใจในการขยายการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอสังหาฯ รายเล็กหรือรายใหญ่ต้องการโอกาสให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย ทำให้เกิดการซื้อที่ดิน การพัฒนาโครงการง่ายขึ้นหากธนาคารพาณิชย์ยอมปล่อยเงินกู้มากขึ้น ส่วนเรื่องภาษีที่ดินมี 2 มุมมอง คือทำให้เจ้าของที่ดินนำที่ดินออกมาขายในราคาลดลง ขณะเดียวกันเจ้าของโครงการเร่งพัฒนาเพื่อขายเร็วขึ้น
ส่วนนโยบายที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาเช่าระยะยาวนั้น เกรงว่าเกิดปัญหา ”ความเหลื่อมล้ำ” จากเงินทุนที่มากกว่าของต่างชาติ แต่อีกด้านหนึ่งปัจจุบันเป็นโลกที่แหล่งเงินทุนหมุนไหลเวียนไปทั่วโลก ดังนั้นการพัฒนาประเทศต้องอาศัยลูกค้าต่างชาติ ฉะนั้นการเพิ่มโควตาให้ต่างชาติเข้ามาซื้อคอนโดได้มากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องถูกควบคุมและทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้นด้วย
“แต่กรณีขยายระยะเวลาเช่าระยะยาว 99 ปี ฝากรัฐบาลพิจารณาเพิ่มเติมกฎระเบียบที่เข้มงวดและคิดเผื่อไว้สำหรับรุ่นหลาน”
จำกัดทำเล ระยะเวลา ช่วงราคา
ในมุมมองของ“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีอีโอเอสซี แอสเสท ระบุว่า มาตรการที่ภาครัฐพยายามที่จะออกมา เช่น เช่าระยะยาว99ปี ,เพิ่มโควตาต่างชาติซื้อคอนโดมิเนียมได้มากขึ้นนั้น ผมแบ่งเป็น3 ประเด็น ประเด็นแรกคือ "เจตนาดี" เพราะว่าเราจะได้มีกำลังซื้อมากขึ้นไม่ได้พูดถึงแค่อสังหาฯ เพราะถ้ามีคนต่างชาติเข้ามสร้างงานในประเทศเข้ามาอยู่ในประเทศเราทำให้เกิดการพัฒนาการลงทุนมากขึ้น ตรงนี้ดีกับประเทศแน่นอน โดยภาพรวมเพราะอสังหาฯเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามากกว่า 1ล้านล้านบาท ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องยังธุรกิจอื่นๆ
เมื่อเจตนาดีและอยากได้"ผลลัพธ์ดี" มีนักลงทุน มีคนที่เข้ามาสร้างงานในประเทศ มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นก็ต้องขึ้นอยู่กับ "วิธีการ" ซึ่งตอนนี้ทุกๆภาคส่วนก็ออกมาให้ความคิดเห็นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ในการหาวิธีการที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น แต่คนไทยต้องไม่ซื้อบ้านแพงขึ้นในอนาคต และยังมีสิทธิมีเสียงได้เต็มที่ในทุกๆที่อยู่อาศัย
"ผมว่ามาคุยกันที่วิธีการดีกว่าในเมื่อเจตนามันดีแล้ว เราอยากได้ผลลัพธ์ที่ดี อาจจะมีการจำกัดทำเล ระยะเวลา จำกัดช่วงราคาของสินค้ากับมาตรการเหล่านี้"
นอกจากนี้ต้องคิดต่อว่าทำอย่างไรให้คนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากขึ้น ภาษีที่เขาต้องจ่ายจะกลับมาช่วยคนไทยได้อย่างไร มาช่วยกันหาวิธีการที่ทำให้ผลลัพธ์ที่ดีออกกมาดีกว่า ส่วนกระแสต้านว่าขายชาตินั้น"ผมมองแบบนี้ สิ่งที่ดีคือประเทศเรามีประชาธิปไตย สามารถมีความคิดเห็นได้อย่างเสรี นโยบายแต่ละนโยบายมีเจตนาที่ดีเรามาช่วยกันหาวิธีการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีจะดีกว่า"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์