เศรษฐีไทยช้อปอสังหาฯต่างประเทศ ‘อังกฤษ’ยืนหนึ่งญี่ปุ่น - มัลดีฟส์มาแรง

เศรษฐีไทยช้อปอสังหาฯต่างประเทศ ‘อังกฤษ’ยืนหนึ่งญี่ปุ่น - มัลดีฟส์มาแรง

เศรษฐีไทยขนเงินซื้ออสังหาฯต่างประเทศ ‘อังกฤษ’ยืนหนึ่งญี่ปุ่น - มัลดีฟส์มาแรง หวังลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ

KEY

POINTS

  • เศรษฐีไทยหันมาลงทุนอสังหาฯต่างแดน
  • ลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ-การเมือง
  • ทำเลยอดนิยมเมือง“ลอนดอน”ประเทศอังกฤษ

เศรษฐีไทยขนเงินซื้ออสังหาฯต่างประเทศ ‘อังกฤษ’ยืนหนึ่งญี่ปุ่น - มัลดีฟส์มาแรง หวังลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ

หนึ่งในพอร์ตการลงทุนของ“เศรษฐีไทย”ในปีนี้เริ่มหันมาลงทุนซื้ออสังหาฯในต่างประเทศเข้าพอร์ตตัวเองมากขึ้น เพื่อ"ลดความเสี่ยง"จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

แม้ว่ากำลังซื้อภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯไทยยังไม่ฟื้นตัว  แต่สำหรับตลาดอสังหาฯไฮเอนด์ในต่างแดน โดยเฉพาะทำเลฮอต“ลอนดอน” ประเทศอังกฤษกลับมาได้รับความนิยมจากบรรดาเศรษฐีไทย  เนื่องจากเศรษฐีเมืองไทยจำนวนมากส่งลูกไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่ไฮสคูลจึงใช้เวลาอยู่นานถึง 7-8 ปี

ปพิณริยา พึ่งเขื่อนขันธ์ หัวหน้าแผนกซื้อขายที่พักอาศัยรายย่อย บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด ฉายภาพว่ากลุ่มคนไทยที่ลงทุนซื้ออสังหาฯในต่างประเทศ อันดับแรกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือประเทศ “อังกฤษ” โดยกลุ่มลูกค้าที่ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ  

ส่วนใหญ่จะซื้อใน“ลอนดอน”เพื่อเป็นที่พักอาศัยของลูกหลานระหว่างเรียนโดยมีงบประมาณตั้งแต่ 8แสนปอนด์จนถึง2ล้านปอนด์ หรือคิดเป็นมูลค่า 36-91ล้านบาท ขนาด1-2ห้องนอน 


ส่วนประเทศ“ญี่ปุ่น”ได้รับความสนใจเป็นอันดับสองในการซื้ออสังหาฯเพื่อลงทุนจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่สนใจลงทุนอสังหาฯในประเทศญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะสนใจในทำเล“ฮอกไกโด” ซึ่งเป็นเมืองสกีรีสอร์ทชื่อดัง  ซึ่งมูลค่าการซื้อขายขั้นต่ำขนาด2ห้องนอนประมาณ30 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีพื้นที่น่าสนใจอย่าง“โอซาก้า” เหมาะกับคนที่สนใจจะเริ่มลงทุนอสังหาฯในญี่ปุ่นเนื่องจากระดับราคาประมาณ7-8ล้านบาทเท่านั้นเป็นขนาดห้องสตูดิโอ 20 ตารางเมตร 

อีกเดสติเนชั่นที่น่าในคือ “มัลดีฟส์” ซึ่งซีบีอาร์อีมี 2 โครงการที่ขายอยู่ระดับราคาตั้งแต่ 4 - 16.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีขนาดตั้งแต่ 2-9 ห้องนอน ซึ่งเหมาะกับกลุ่มครอบครัว

"ในส่วนของตัวโครงการในปี2566 ที่ผ่านมา มียอดมูลค่าการซื้อขายไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายของตลาดรีเซล และตลาดมือหนึ่งประมาณ 80ล้านเหรียญสหรัฐหรือ2,841ล้านบาทถือว่ามีมูลค่าสูงมาก เป็นยอดขายจากโครงการ สำหรับ soneva Jani และ soneva Fushi ที่ซีบีอาร์อีดูแลอยู่"