LTV หนี้ครัวเรือน ดอกเบี้ยขาขึ้นทุบดีมานด์ซัพพลายอสังหาฯร่วง13.6%

LTV หนี้ครัวเรือน ดอกเบี้ยขาขึ้นทุบดีมานด์ซัพพลายอสังหาฯร่วง13.6%

เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า! มาตรการLTVของ ธปท. ที่กระทบต่อคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านสัญญาที่ 2 หนี้ครัวเรือนสูงกว่า90 %ของ GDP ดอกเบี้ยขาขึ้น ทุบดีมานด์ซัพพลาย อสังหาฯไตรมาส3ปี66 ร่วง13.6%

วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  เปิดเผยว่า ด้านดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ของประเทศไทยในไตรมาส 3 ปี 2566 ที่ลดลง 13.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ทั้งนี้เป็นการ"ลดลง"ทั้งในด้านของอุปสงค์และอุปทาน คาดว่าเป็นผลมาจากการลดลงของด้านอุปสงค์ของที่อยู่อาศัย โดยพบว่า ด้านโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลง 10% และอัตราดูดซับห้องชุดใหม่ลดลง3.6% และอัตราดูดซับบ้านแนวราบใหม่ลดลง2% 

 ส่วนในด้านอุปทาน พบว่า ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนลดลง9.6 %ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการลดลง 2.1 จุด โดยเฉพาะจากการที่ความเชื่อมั่นในด้านยอดขายลดลง12 จุด ด้านการจ้างงานลดลง 3.7 จุด ด้านการลงทุนลดลง10.1 จุด และด้านผลประกอบการลดลง2.8 จุด   

  LTV หนี้ครัวเรือน ดอกเบี้ยขาขึ้นทุบดีมานด์ซัพพลายอสังหาฯร่วง13.6%

ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากมีปัจจัยลบหลายด้าน   อาทิ  การยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธปท. ที่กระทบต่อคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านสัญญาที่ 2 

ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่สูงกว่า90 %ของ GDP และ ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ที่ปรับขึ้นมาแล้ว 5 ครั้ง (ม.ค. - ก.ย.2566) หรือเพิ่มขึ้น 125 bps ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยให้ลดลงโดยตรง  รวมทั้งการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า!
        LTV หนี้ครัวเรือน ดอกเบี้ยขาขึ้นทุบดีมานด์ซัพพลายอสังหาฯร่วง13.6%

"สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีรายได้เพิ่มขึ้นน้อย ขณะที่ภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นและความสามารถในการซื้อและการผ่อนชำระลดลง ซึ่งจะกระทบต่อยอดขายที่อยู่อาศัยโดยตรง "

LTV หนี้ครัวเรือน ดอกเบี้ยขาขึ้นทุบดีมานด์ซัพพลายอสังหาฯร่วง13.6%

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า ภาพรวมดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงจากปี 2565 เล็กน้อย โดยจะปรับลงมาอยู่ที่ 89.8 จุด หรือลดลง 3%สำหรับกรณีฐาน (Base Case) แต่หากมีปัจจัยบวกที่ดีกว่าที่คาดไว้อาจจะมีการปรับเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 98.8 หรือ ขยายตัวได้ถึง6.7 %(Best Case)  ในทางตรงข้าม หากมีปัจจัยที่ส่งผลรุนแรงกว่าที่คาดไว้ อาจจะปรับตัวลดมาอยู่ที่ระดับ 80.8 หรือลดลง12.7 % (Worst Case)