เศรษฐกิจฟื้นดันดีมานด์สุขภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง-ซ่อมแซมโตก้าวกระโดด

เศรษฐกิจฟื้นดันดีมานด์สุขภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง-ซ่อมแซมโตก้าวกระโดด

ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากการกลับเข้ามาของต่างชาติช่วยกระตุ้นดีมานด์สุขภัณฑ์ วัสดุก่อสร้างและธุรกิจซ่อมแซมโตก้าวกระโดดจากโครงการคอนโด บ้าน โรงแรมและรีสอร์ท กะรัต เล็งเพิ่มไลน์ผลิตและคลังสินค้าจระเข้ ส่งนวัตกรรมกาวซีเมนต์ ยาแนวกระเบื้องลดเวลาก่อสร้าง

พริ้งพราย นิธยานนท์  รองกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กะรัต เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากการกลับเข้ามาของต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซีย จีน ฯลฯ ช่วยกระตุ้นดีมานด์สุขภัณฑ์โตขึ้นแบบก้าวกระโดดเพราะแรงซื้อกลับมากระตุ้นตลาดอสังหาฯ ทั้งโครงการคอนโด บ้าน โรงแรม รีสอร์ท โดยเฉพาะในจ.ภูเก็ต และพัทยากลับมาพัฒนาโครงการใหม่ หรือปรับปรุงโรงแรม รีสอร์ทส่งผลให้ยอดขายในไตรมาสแรกปีนี้เติบโต 20% กลับไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19

"ปัจจุบันทุกช่องทางจำหน่ายไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์นเทรด ตัวแทนจำหน่าย หรืองานโครงการเติบโตทุกช่องทาง เพราะดีมานด์พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ผลิตสินค้าไม่ทัน โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมากำลังการผลิตเต็ม 100% แม้จะทำโอทีไม่พอ จึงมีแผนที่ลงทุนเพิ่มไลน์ผลิต ไลน์ประกอบและคลังสินค้าเพิ่มเพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น "

ขณะเดียวกันมีการนำเสนอนวัตกรรมภายใต้แบรนด์ เอสเธอร์ เป็นแบรนด์พรีเมี่ยมที่ชูจุดเด่นเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานดีไซน์ เพื่อขยายฐานลูกค้าระดับบนที่ต้องการสุขภัณฑ์ที่ตอบโจทย์สุขภาวะ มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคใหม่ ด้วยฟังก์ชั่นอัตโนมัติ อาทิ ก๊อกน้ำที่มีระบบเซ็นเซอร์ไร้การสัมผัส สุขภัณฑ์อัจฉริยะที่มีระบบเปิดปิดอัตโนมัติ พร้อมระบบฆ่าเชื้อด้วยแสง UVC ที่ช่วยขจัดคราบและกลิ่น หรือระบบกลอนประตูอัจฉริยะที่เปิดปิดด้วยลายนิ้วมือที่สามารถกันน้ำได้ เป็นต้น

"แทนที่จะเล่นสงครามราคากับคู่แข่งจากจีน เราเน้นนวัตกรรม ที่คุ้มค่าคุ้มราคา สำหรับลูกค้า พร้อมทั้งปรับราคาขึ้น 7-8% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี เพราะเชื่อว่ากลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสุขภาพ คุณภาพ ยอมรับได้"

พริ้งพราย กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย 25%  คิดเป็นมูลค่า 625 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มียอดขาย 500 ล้านบาท ถือเป็นยอดขายสูงสุดในรอบ 36 ปี และในอีก 3 ปีข้างหน้ามีแผนจะนำเข้าไปจำหน่าย ในรีเทลสโตร์ 180 แห่งในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าทั่วประเทศ อีก 300 แห่งทั่วประเทศ ช่องทางออนไลน์ ทั้ง Karatshoponline, Shopee และ Lazada พร้อมทั้งเพิ่มการส่งออกไปยังต่างประเทศ อาทิ กัมพูชา บรูไน มัลดีฟส์ ลาว พม่า และเวียดนาม โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 10-15%

ศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าตราจระเข้ เพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่ง กล่าวว่า แนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างในปีนี้ดีขึ้น สังเกตได้จากยอดในไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตถึง 25%

ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายตลาดไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มเคมีก่อสร้าง โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและเติบโตสูง จากการลงทุนของภาครัฐและเอกชน เกี่ยวกับงานโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟฟ้า ถนน สะพาน ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้นวัตกรรมที่เซ็ทตัวที่เร็วขึ้นและมีความคงทนแข็งแรงเท่าเดิม หรือการซ่อมแซมแบบเร่งด่วน สามารถส่งมอบงานตรงเวลา ซึ่งเป็นงานที่ใช้งบประมาณลงทุนค่อนข้างสูงรวมถึงใช้ทรัพยากรสูง หากสามารถเสริมความคงทนยืดอายุการใช้งานได้เพิ่มขึ้น จะลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดปัญหาการซ่อมแซมในภายหลัง นำมาซึ่งการลดการเกิดขยะจากการก่อสร้างได้มากขึ้น ถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่ดี 

คาดว่าปีนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะโต 30% คิดเป็นมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีส่วนแบ่งตลาด 6% คิดเป็นมูลค่า 500 ล้านบาท และอีก 2 ปี ข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% คิดเป็นมูลค่า 800 ล้านบาท จากตลาดรวม 8,000 ล้านบาท

“ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งบริษัท 3,800 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคมีก่อสร้างจะเติบโตไม่น้อยกว่า 30% โดยนำเสนอนวัตกรรมซ่อมพื้นคอนกรีตบางเป็นมิตรกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลต์ ตอบโจทย์ความเร็ว โดยลดเวลาทำงานจาก 7 วันเหลือเพียง 2 วันและความยั่งยืนด้วยคุณสมบัติพิเศษในการซ่อมพื้นบางที่สุดเพียง 2 มม. ซึ่งเท่ากับช่วยลดการใช้ทรัพยากรและลดการเกิด CO2 ลงถึง 96%”

สำหรับแนวทางในการทำตลาดของจระเข้ การพัฒนานวัตกรรมโดยเฉพาะกาวซีเมนต์และกาวยาแนวปูกระเบื้อง ที่มียอดขายอันดับหนึ่งในตลาดมานาน 30 ปี ในปีนี้ตลาดกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังจากชะลอตัว 2-3 ปีที่ผ่านมา เจ้าของบ้านและเจ้าโครงการเริ่มกลับมาสร้างและซ่อมแซมโครงการกันมากขึ้นส่งผลดีต่อตลาดวัสดุก่อสร้างกลับมาเติบโตอีกครั้ง