ไนท์แฟรงค์ปรับทัพขายบ้านคอนโดหรูจับเรียลดีมานด์ นักลงทุนไทย-ต่างชาติ

ไนท์แฟรงค์ปรับทัพขายบ้านคอนโดหรูจับเรียลดีมานด์ นักลงทุนไทย-ต่างชาติ

ไนท์แฟรงค์ ปรับทัพทีมขายโฟกัสบริการขายบ้านคอนโดหรู10 ล้านอัพกรุงเทพฯปริมณฑลจับเรียลดีมานด์และนักลงทุนไทย-ต่างชาติจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน

นางสาวพจมาน วรกิจโภคาทร หัวหน้างานที่ปรึกษาที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว เริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 พร้อมการแข่งขันที่สูงขึ้นตาม โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม หลายโครงการมีการปรับกลยุทธ์ เพื่อให้แข่งขันได้ และเร่งสร้างกระแสเงินสดให้มากที่สุด เพื่อระดมทุนจัดซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ต่อไป
ส่วนตลาดบ้านเดี่ยว 

นอกจากภาวการณ์แข่งขันในตลาดแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามาทำให้ยอดขายไม่แรงอย่างที่วางแผนไว้ เช่น นโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ย และเป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัว ทำให้ผู้บริโภคขอสินเชื่อซื้อบ้านยากขึ้น เนื่องจากรายได้ยังคงที่ แต่ยอดผ่อนชำระปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงวงเงินอนุมัติปล่อยกู้ลดลง
บ้านในระดับไฮเอนด์ (High-end) กลับได้รับความสนใจอย่างมาก และวิกฤตที่ผ่านมาแทบจะไม่มีผลกระทบกับตลาดบ้านเซ็กเมนต์นี้

ไนท์แฟรงค์ปรับทัพขายบ้านคอนโดหรูจับเรียลดีมานด์ นักลงทุนไทย-ต่างชาติ

ทั้งนี้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตลาดบ้านเดี่ยวระดับ 3-5 ล้านบาทได้รับความสนใจจากตลาดมากขึ้น แต่ปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามาทำให้การตัดสินใจซื้อไม่ได้ง่ายอย่างที่ตลาดต้องการ เช่น นโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ย และเป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัว ทำให้ผู้บริโภคขอสินเชื่อซื้อบ้านยากขึ้น เนื่องจากรายได้ยังคงที่ แต่ยอดผ่อนชำระปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงวงเงินอนุมัติปล่อยกู้ลดลง

จากข้อจำกัดทางธุรกิจ ทำให้การแข่งขันในตลาดแต่ละบริษัทไม่หยุดคิด และพัฒนา สู้กับตลาดที่เข้มข้น ในทางกลับกันหลังจากช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เจ้าของโครงการหลายรายที่หยุดรอการพัฒนาโครงการ ต่างเห็นโอกาสเปิดโครงการอีกครั้งหลังโควิด  ดังนั้น ทีมขายไนท์แฟรงค์จึงทำการขยายทีม 4 ทีม “ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการที่พักอาศัย” เพื่อรองรับงานในอนาคต 

ในส่วนของกลยุทธ์และเป้าหมายนั้น ได้แบ่งทีมการตลาดและขายออกเป็น 2 ตลาดได้แก่ คอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว ในกลุ่มราคาระดับกลางถึงบน (Mid to High Class) 2-10 ล้านบาท และกลุ่มลักชัวรี่ (Luxury Class) 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่เอง และกลุ่มนักลงทุนไทย กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศได้แก่ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลซีย และไต้หวัน

ไนท์แฟรงค์ปรับทัพขายบ้านคอนโดหรูจับเรียลดีมานด์ นักลงทุนไทย-ต่างชาติ

ทั้งนี้ ด้วยประสบการณ์ด้านการตลาดและขายอสังหาริมทรัพย์มา 20 ปี  ในประเทศไทย รับบริหารโครงการมาแล้วมูลค่ากว่า 140,000 ล้านบาท พร้อมเน็ตเวิร์คธุรกิจกว่า 57 ประเทศทั่วโลกใน 6 ทวีป และทีมสนับสนุนแบบ One Stop Service เช่น ทีมประเมินทรัพย์สิน ทีมศึกษาวิจัยตลาด ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลอุตสาหกรรม และวิเคราะห์เพื่อหาโอกาสทางการตลาดอสังหาฯ ได้อย่างตรงจุด อีกทั้งการทำงานร่วมกันกับเจ้าของโครงการในฐานะพาร์ทเนอร์ในการผลักดันยอดขายให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ ซึ่งโครงการที่รับดูแลด้านการตลาดและขายจะอยู่ที่ประมาณ 10-15 โครงการ 

สำหรับโครงการที่รับบริหารการตลาด และงานขาย คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ (Luxury Class)  ในปัจจุบันคือโครงการ The Crown Residences ทำเลสาทร พระราม4 ราคาขายเฉลี่ย 250,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาขายต่อยูนิต ประมาณ 7-30 ล้านบาท ทำเลตั้งอยู่ตรงข้ามโครงการ One Bangkok และที่กำลังเปิดอีกโครงการคือ Kingsquare Residence ทำเลพระราม 3 อยู่ตรงข้ามโรงเรียน King College International School ราคา 200,000 - 230,000บาทต่อตารางเมตร ราคาขายต่อยูนิต ประมาณ 10-80 ล้านบาท

ทั้งนี้ โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ในอดีตที่ผ่านมา จะเป็น Branded Residence ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในย่านสาทร วิทยุ พระราม4 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาทิ Mandarin Oriental Residence, Amari Phuket, Sukhothai Residences

ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม ระดับ Mid to High Class ราคา 70,000-190,000 บาทต่อตารางเมตร  ราคาต่อยูนิต 2-10 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ Niche Mono, Niche Pride, โครงการ Aspace Bangna, โครงการ The Metropolis, โครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยา StarView และโครงการที่เน้นเจาะตลาดนักลงทุน ได้แก่ Salaya One, Bayphere Pattaya ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่เตรียมเปิดขาย ตั้งอยู่บริเวณ เอกมัย วัชรพล (ยังไม่ได้ระบุชื่อโครงการ) รวมถึงโครงการทาวน์โฮม ระดับราคา 2-6 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Hamilton บางกรวยไทรน้อย และ โครงการ The Mastery เทพารักษ์

ไนท์แฟรงค์ปรับทัพขายบ้านคอนโดหรูจับเรียลดีมานด์ นักลงทุนไทย-ต่างชาติ

ล่าสุด ทีมฯ สามารถปิดการขายโครงการเทพา รามคำแหง 118 บ้านหรูระดับราคา 9-18 ล้านบาท รวมถึงปิดการขายคอนโดมิเนียม Salaya One ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท มีนำ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ไปเป็นที่เรียบร้อย โดยตลอดระยะเวลา 7 เดือนของการบริหารการตลาดและขาย สามารถสร้างมูลค่ายอดขายที่ 700 ล้านบาท แบ่งเป็นการปิดการขายในส่วนของอาคาร A   ขณะที่อาคาร C มียอดขายประมาณ 70%  และเตรียมเปิดขายอาคาร B ซึ่งเป็นอาคารสุดท้ายของโครงการในลำดับต่อไป 

“คอนโดมิเนียม ทำเลใกล้มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อรวมกับการดีไซน์ห้องสวย พร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบจัดเต็ม และราคาที่จับต้องได้ บวกโอกาสในการลงทุนซื้อเพื่อนำไปปล่อยเช่า ซึ่งความสำเร็จจาก Salaya One มาจากการวิเคราะห์ตลาด และขายตรงกลุ่มเป้าหมาย” นางสาวพจมาน กล่าว