5ทำเลหน่วยเหลือขายที่อยู่อาศัยมากสุด4จังหวัดภาคใต้

5ทำเลหน่วยเหลือขายที่อยู่อาศัยมากสุด4จังหวัดภาคใต้

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯเผย 5 ทำเลหน่วยเหลือขายที่อยู่อาศัยมากสุด4จังหวัดภาคใต้ เทพกระษัตรี-ศรีสุนทร ภูเก็ตยืนหนึ่งตามด้วย เกาะแก้ว - รัษฎา อันดับสาม ประดู่-บางชุมโถ จ.สุราษฎร์ธานี อันดับสี่หาดบางเทา-หาดสุรินทร์ ภูเก็ต อันดับห้า ท่าข้าม-ควนหิน จ.สงขลา ราคา 3-5ล้านมากสุด

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคใต้ 4 จังหวัดประกอบด้วย จังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และ นครศรีธรรมราช ครึ่งหลังปี 2565 พบว่า จำนวนอุปทานพร้อมขายจำนวนประมาณ  17,564 หน่วย มูลค่า 77,112 ล้านบาท ซึ่งมีการขยายตัว YoY ร้อยละ 0.8 และ 1.3 ตามลำดับ สาเหตุที่ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวลงน้อยเช่นนี้เป็นผลมาจากที่อุปทานอาคารชุดเสนอขายหดตัวลงอย่างมากทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าถึงร้อยละ -20.6 และ -17.6 ตามลำดับ 

 โดยพบว่าจังหวัดสงขลาและนครศรีธรรมราชไม่มีการเปิดตัวใหม่เลย ส่วนจังหวัดภูเก็ตและสุราษฎร์ธานีที่มีการเปิดตัวโครงการอาคารชุดใหม่ในช่วงการสำรวจไม่มาก จำนวน 350 และ 459 หน่วย ขณะที่บ้านจัดสรรมีหน่วยเสนอขายขยายตัวทั้งหน่วยและมูลค่าถึงร้อยละ 11.6 และ 11.3 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นมากในจังหวัดสงขลาและสุราษฎร์ธานี ส่วนจังหวัดภูเก็ตและนครศรีธรรมราชยังมีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยมาก 

ทั้งนี้ในภาพรวมในภาคใต้ 4 จังหวัดมีหน่วยเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาด 1,929 หน่วย มูลค่า 8,440 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 และ 20.5 ตามลำดับ ขณะที่มีโครงการขายได้ใหม่จำนวน 4,242 หน่วย มูลค่า 16,619 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 110.9 และ 109.8 ตามลำดับ ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 13,322 หน่วย มูลค่า 60,493 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -13.6 และ -11.3 ตามลำดับ 

โดย 5 ทำเล ที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุดใน 4 จังหวัดภาคใต้ คือ

อันดับ 1 ทำเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร (ภูเก็ต) จำนวน 1,523 หน่วย มูลค่า 5,842 ล้านบาท

อันดับ 2 ทำเลเกาะแก้ว - รัษฎา (ภูเก็ต) จำนวน 1,069 หน่วย มูลค่า 8,123 ล้านบาท

อันดับ  3 ทำเลประดู่-บางชุมโถ (สุราษฎร์ธานี) จำนวน 896 หน่วย มูลค่า 2,419 ล้านบาท

อันดับ 4  ทำเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ (ภูเก็ต) จำนวน 798 หน่วย มูลค่า 4,444 ล้านบาท

อันดับ 5 ทำเลท่าข้าม-ควนหิน (สงขลา) จำนวน 771 หน่วย มูลค่า 3,368 ล้านบาท

โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุดคือ 3.01-5.00 ล้านบาท มีจำนวนถึง 4,882 หน่วย มูลค่า 20,246 ล้านบาท 

ภาพรวมจังหวัดสงขลา

สำหรับปี 2565 ในพื้นที่สำรวจจังหวัดสงขลา มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 4,101 หน่วย มูลค่า 16,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 และ ร้อยละ 9.8 โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,649 หน่วย มูลค่า 15,443 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 452 หน่วย มูลค่า 1,285 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 523 หน่วย ลดลงร้อยละ -20.5 มูลค่า 2,234 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -3.3

ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 664 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 มูลค่า 2,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9และจำนวนหน่วยเหลือขาย 3,437 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 มูลค่า 14,247 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY)  

 ภาพรวมจังหวัดสุราษฎร์ธานี

สำหรับปี 2565 ในพื้นที่สำรวจจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 3,322 หน่วย มูลค่า 11,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 และ ร้อยละ 18.7 โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,798 หน่วย มูลค่า 9,931 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 524 หน่วย มูลค่า 1,782 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 864 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 56.2 มูลค่า 2,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.4      

ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 676 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 70.7 มูลค่า 2,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.5 และจำนวนหน่วยเหลือขาย 2,646 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 มูลค่า 9,545 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY)

ภาพรวมจังหวัดนครศรีธรรมราช

 สำหรับปี 2565 ในพื้นที่สำรวจจังหวัดนครศรีธรรมราช มีจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งสิ้น 1,903 หน่วย  มูลค่า 7,684 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -15.0 และ ร้อยละ -14.7  โดยเป็นโครงการบ้านจัดสรรอย่างเดียว 1,903 หน่วย มูลค่า 7,684 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 44 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.8 มูลค่า 144 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -14.7

ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 393 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 111.3 มูลค่า 1,627 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 154.4 และจำนวนหน่วยเหลือขาย 1,510 หน่วย ลดลงร้อยละ -26.4 มูลค่า 6,057 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -27.6  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY)