เทรนด์เช่าออฟฟิศอาคารเขียวบูมลูกค้ายอมจ่ายส่วนต่างค่ากรีนพรีเมี่ยม

เทรนด์เช่าออฟฟิศอาคารเขียวบูมลูกค้ายอมจ่ายส่วนต่างค่ากรีนพรีเมี่ยม

เจแอลแอล ระบุเทรนด์เช่าออฟฟิศอาคารเขียวบูมลูกค้ายอมจ่ายส่วนต่างค่ากรีนพรีเมี่ยม 4-11%เพื่อให้ได้มีออฟฟิศอยู่ในอาคารที่ได้รับรองมาตรฐานอาคารเขียว โดยบางเมืองมีค่าพรีเมี่ยมสูงถึง 28%

รายงานการวิจัยจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล ระบุว่า บริษัทใน 11 หัวเมืองหลักของเอเชีย ที่มีเป้าหมายการลดปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ ยอมจ่ายค่าเช่าแพงกว่า (ค่าพรีเมี่ยม) เพื่อให้ได้มีออฟฟิศอยู่ในอาคารที่ได้รับรองมาตรฐานอาคารเขียว โดยบางเมืองมีค่าพรีเมี่ยมสูงถึง 28%

บทวิเคราะห์ “The Value of Sustainability : Evidence for a Green Premium in Asia” ของ เจแอลแอล ระบุว่า อาคารสำนักงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียวในหัวเมืองที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจในหลายประเทศของเอเชีย มีปริมาณพื้นที่ไม่เพียงพอรองรับความต้องการของบริษัทผู้เช่า ซึ่งทำให้อาคารเขียวเหล่านี้เรียกค่าเช่าได้สูงกว่า เมื่อเทียบกับอาคารที่ไม่มีการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว ซึ่งส่วนต่างค่าเช่านี้เรียกว่า “ค่ากรีนพรีเมี่ยม”

โดยเทียบค่าเช่าระหว่างอาคารที่ได้และไม่ได้การรับรองมาตรฐานอาคารเขียว ซึ่งมีทำเลที่ตั้ง อายุ และสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันพบว่า อาคารที่ได้การรับรองมาตรฐานอาคารเขียวจะเป็นที่ต้องการของกลุ่มบริษัทผู้เช่ามากกว่า

เทรนด์เช่าออฟฟิศอาคารเขียวบูมลูกค้ายอมจ่ายส่วนต่างค่ากรีนพรีเมี่ยม

สำหรับภูมิภาคเอเชีย มาตรฐานอาคารเขียวเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมา โดยราว 75% ปริมาณพื้นที่สำนักงานเกรดเอที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว อยู่ในอาคารที่สร้างเสร็จหลังจากปี 2558 เป็นต้นมา สอดรับกับข้อตกลงปารีสตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ผ่านความเห็นชอบในปี 2558

อย่างไรก็ดี พื้นที่สำนักงานในอาคารที่ได้การรับรองมาตรฐานอาคารเขียวในเอเชีย ยังคงมีไม่เพียงพอรองรับความต้องการของบริษัทผู้เช่า ที่ตั้งเป้าไว้ว่า จะให้เกือบครึ่งหนึ่งของพอร์ตสถานประกอบการของตน ได้รับการรับรองมาตรฐานการเป็นสถานประกอบการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายในปี 2568

เจเรมี่ โอซุลลิแวน หัวหน้าฝ่ายวิจัยและบริการที่ปรึกษา เจแอลแอล ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอในกรุงเทพฯ 70% ของกิจกรรมการเช่าใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นการเช่าพื้นที่ในอาคารที่มีมาตรฐานอาคารเขียว ขณะเดียวกัน อาคารเขียวเกรดเอในกรุงเทพฯ มีสัดส่วน 39% ของปริมาณพื้นที่สำนักงานเกรดเอทั้งหมด ที่สำคัญ อาคารเขียวเหล่านี้ สามารถเรียกค่าเช่าได้สูงกว่าอาคารเกรดเอด้วยกันที่ ”ไม่มี” มาตรฐานอาคารเขียวรองรับ โดยมีส่วนต่างหรือค่ากรีนพรีเมี่ยมอยู่ระหว่าง 4-11% !!

รายงานของเจแอลแอล ระบุว่า 42% ของปริมาณพื้นที่สำนักงานเกรดเอทั้งหมดใน 14 หัวเมืองหลักของเอเชีย เป็นพื้นที่ในอาคารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว

โดย  “ฮ่องกง” ปริมาณพื้นที่อาคารสำนักงานเกรดเอที่มีมาตรฐานอาคารเขียว คิดเป็นสัดส่วนเพียง 29% ขณะที่อาคารเกรดเอที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED Platinum มีค่ากรีนพรีเมี่ยมสูงถึง 28% นับเป็นค่ากรีนพรีเมี่ยมสูงที่สุดในภูมิภาค ส่วน “กรุงโซล” ของเกาหลีใต้ พื้นที่อาคารสำนักงานเกรดเอที่มีมาตรฐานอาคารเขียว มีสัดส่วน 37% มีค่ากรีนพรีเมี่ยม 7-22%
 

“สิงคโปร์” มีพื้นที่สำนักงานเกรดเอในอาคารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว 90% มีค่ากรีนพรีเมี่ยม 4-9% สำหรับ “อินเดีย” แม้หัวเมืองหลักๆ จะมีอาคารสำนักงานเกรดเอจำนวนมากที่ได้รับการมาตรฐานอาคารเขียว แต่มีค่ากรีนพรีเมี่ยมสูงด้วยเช่นกัน สูงสุดอยู่ที่มุมไบ อัตรา 20%

อมรรัตน์ เดชอุดมทรัพย์ หัวหน้าฝ่ายบริการที่ปรึกษาด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเจแอลแอล กล่าวว่า มีเจ้าของอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ จำนวนมากสนใจการปรับปรุงอาคารเก่าเพื่อให้ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว เพราะตระหนักถึงการแข่งขันที่สูงขึ้น จากอุปสงค์และอุปทานที่เพิ่มขึ้นสำหรับอาคารเขียว 

“การปรับปรุงอาคารเป็นกลยุทธ์ที่มีความเหมาะสมมากขึ้นในเชิงธุรกิจ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุดสำหรับเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนจากอาคารสิ่งปลูกสร้าง”

บริษัท หรือองค์กรต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิก ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ กับการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบทำความร้อน ระบบการไหลเวียนของอากาศ และระบบแอร์ (70%), ระบบแสงสว่างอัจฉริยะและปริมาณที่พอเพียง (66%) และการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน (63%) โดยครึ่งหนึ่งมีแผนที่จะปรับปรุงสถานประกอบการของตนภายในปี 2568