เลิกผ่อนปรน"แอลทีวี"ฉุดอสังหาฯปีหน้าหดตัว10%

เลิกผ่อนปรน"แอลทีวี"ฉุดอสังหาฯปีหน้าหดตัว10%

ศุภาลัย ประเมินตลาดอสังหาฯมูลค่า 4แสนล้านปีหน้าหดตัว10%หลังธปท.เลิกผ่อนปรน"แอลทีวี" ส่งผลกระทบกับลูกค้าระดับกลางที่ต้องการขยายครอบครัว กลุ่มคนทำงานต่างจังหวัด และคนที่ต้องการซื้อบ้านตากอากาศเพื่อเป็นที่ทำงาน

หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประกาศไม่ผ่อนคลายหลักเกณฑ์ การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหรือมาตราการแอลทีวีที่เปิดโอกาสให้บ้านหลังที่สองกู้สินเชื่อสถาบันการเงิน 100%  ซึ่งจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธ.ค. 2565นี้ และในปี2566 ให้กลับไปใช้เกณฑ์เดิมตามปกตินั้น

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเลิกผ่อนปรนมาตรการ"แอลทีวี"ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์เพราะมาตรการแอลทีวี ทำให้ลูกค้าบางกลุ่มที่เคยซื้อได้กลับซื้อไม่ได้ หรือจำเป็นต้องซื้อขนาดยูนิตที่เล็กลง ต้องวางเงินดาวน์เพิ่มขึ้น 10-20% หลังจากกลับมาใช้มาตรการแอลทีวีจากเดิมอยู่ที่ 80% เป็น ลูกค้าต้องเป็น110% ทำให้ลูกค้าที่ซื้อต้องมีเงินดาวน์เพิ่มเติม ปัญหาคือจะส่งผลกระทบกับลูกค้าระดับกลางมากกว่าระดับล่างที่ซื้อบ้านหลังแรกเพราะคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีบ้านทาว์นโฮมหรือบ้านแฝด ต้องการขยับขยายขนาดที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น

"ในความเป็นจริงการซื้อบ้านหลังที่สองไม่ใช่เป็นการเก็งกำไรเหมือนอย่างที่อย่างที่หลาคนคิด ยกตัวอย่าง เขามีทาว์นโฮมแล้วอยากจะซื้อบ้านเดี่ยว จะให้รอขายทาว์นโฮมก่อนแล้วค่อยไปซื้อแล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน ตามหลักความเป็นจริงเขาต้องไปซื้อบ้านเดี่ยวก่อนค่อยไปขายทาวน์โฮม  แต่กลับกลายเป็นว่า ในมุมของแบงก์ชาติเป็นการซื้อเพื่อเก็งธปท.กำไร หรือบางคนมีบ้านในกรุงเทพฯแต่ต้องทำงานต่างจังหวัดต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง หรือบางคนอยากซื้อบ้านตากอากาศไว้เพื่อทำงานตามเทรนด์ทำงานจากที่ไหนก็ได้ หรือ WFA (Work from Anywhere)"

ดังนั้นผลกระทบที่จะเกิดจากมาตรการแอลทีวีน่าจะส่งผลตลาดอสังหาฯถึง 10% จากปัจจุบันที่มีมูลค่าตลาดประมาณ4แสนล้านบาท ในฐานะผู้ประกอบการคงทำอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้การเพิ่มของแถมของ เช่น เฟอร์นิเจอร์ เข้าไปในราคาขายให้กับูกค้าเแต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ลูกค้าไหวที่ราคาเท่าไร ซึ่งน่าเห็นใจคนที่ต้องการขยับขยายบ้านที่จะโดนผลกระทบจากมาตราการดังกล่าว ทำให้คนกู้สินเชื่อบ้านจะได้วงเงินน้อยลง

โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำหนดโอนกรรมสิทธิ์บ้านในปี 2566 หรือกลุ่มคาบเกี่ยวรอโอนระหว่างปลายเดือนธ.ค. 2565 - มกราคม 2566 ต้องเร่งการโอนขึ้นมาให้เร็วขึ้น เพื่อให้ทันต่อช่วงผ่อนคลายมาตรการ  ดังนั้นจึงอยากให้ขยายผ่อนปรน"แอลทีวี"ไปถึงปี 2566  แม้ว่าแบงก์ชาติมองกว่า ตลาดฟื้นตัวแล้ว เพราะถ้าดูครึ่งปีแรกเหมือนจะฟื้นตัวเพราะยอดขายเท่ากับครึ่งหนึ่งของปี 2562 ซึ่งเป็นผลมาจากดีมานอั้น  ในช่วง2ปีที่เกิดโควิด และส่วนหนึ่งเป็นเพราะการผ่อนคลายมาตรการแอลทีวีจากแบงก์ชาติแต่ในครึ่งปีหลังดีมานด์ลดลงกว่าครึ่งปีแรก