รมช.มนัญญา ชื่นชมผลงานกรมวิชาการเกษตร ในวันสถาปนากรมวิชาการเกษตร ครบ 50 ปี

รมช.มนัญญา ชื่นชมผลงานกรมวิชาการเกษตร ในวันสถาปนากรมวิชาการเกษตร ครบ 50 ปี

รมช.มนัญญา ชื่นชมผลงานกรมวิชาการเกษตร ในวันสถาปนากรมวิชาการเกษตร ครบรอบ 50 ปี พร้อมลงนาม 2 MOU ใหญ่ กัญชง กัญชา และก๊าซเรือนกระจก

นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีอ่านสารแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันสถาปนากรมวิชาการเกษตร ครบรอบ 50 ปี ณ กรมวิชาการเกษตร ว่า กรมวิชาการเกษตร เป็นหน่วยงานในสังกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้รับการสถาปนาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2515 ซึ่งในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตรมีผลงานวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช เครื่องจักรกลและเทคโนโลยีต่างๆ มากมายที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกร รวมทั้งแก้ปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชระบาดทำความเสียหายให้กับผลผลิตพืช ควบคุมดูแลคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรทั้งส่งออกและนำเข้า พร้อมยกระดับมาตรฐานการผลิตเพื่อพัฒนาผลผลิตพืชให้มีคุณภาพและปลอดภัย รวมถึงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ การใช้สารชีวภัณฑ์แทนสารเคมี นอกจากนี้กรมวิชาการเกษตรยังขับเคลื่อนงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากกว่า 250 โครงการมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน กรมวิชาการเกษตรจึงนับเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคการเกษตรไทย พร้อมกับขับเคลื่อนภาคการเกษตรของประเทศให้มีความก้าวหน้าตลอดมา 
 

การจัดงานสถาปนากรมวิชาการเกษตร ในวันที่ 3 ตุลาคม 2565 นี้ กรมวิชาการเกษตร ได้นำผลงานวิจัยส่วนหนึ่งที่นำไปใช้แก้ปัญหาให้เกษตรกรมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการ พร้อมกับมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการก๊าซเรือนกระจก ร่วมกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และความร่วมมือทางวิชาการกัญชา กัญชง เพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์และเชิงพาณิชย์อย่างครบวงจรร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งการลงนามความร่วมมือทั้ง 2 ประเด็นนี้ ถือเป็นภารกิจสำคัญที่กรมวิชาการเกษตรเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงาน
    
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตร ได้รับเกียรติจากท่าน มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีการจัดงานครบรอบ 50 ปี กรมวิชาการเกษตร และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2 หน่วยงาน พร้อมชมนิทรรศการผลงานเด่นของกรมวิชาการเกษตร ได้แก่

  • การพัฒนาและขยายผลปุ๋ยชีวภาพและชีวภัณฑ์เพื่อการผลิตพืชอินทรีย์อย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรฉะเชิงเทราได้ดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยต่อยอดการขยายผลปุ๋ยชีวภาพและชีวภัณฑ์ที่เป็นเทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตรสู่เกษตรกร และพัฒนาพื้นที่เป็นแปลงเรียนรู้การผลิตพืชในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ ทำให้สามารถยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรรอบศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ให้ดีขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพจากหอมแดง งานวิจัยนี้ได้สกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากหอมแดง นำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่หอมแดง พร้อมทั้งขยายผลเทคโนโลยีให้แก่กลุ่มวิสาหกิจผู้ปลูกหอมแดงในจังหวัดศรีสะเกษ และกลุ่มวิสาหกิจการเกษตร ศรีสะเกษแฟร์เทรด วางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ เป็นการขยายตลาดการค้าของผลิตภัณฑ์จากหอมแดง เพื่อสร้างธุรกิจจากผลิตผลทางการเกษตรของไทย สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและประเทศ
  • การเพิ่มประสิทธิภาพตรวจสอบและรับรองสุขอนามัยพืชสำหรับลำไยสดส่งออกไปจีน ภายใต้ พ.ร.บ.กักพืช กรมวิชาการเกษตร ได้รับการแจ้งเตือนจากจีนกรณีการปนเปื้อนของแมลงศัตรูพืชที่ติดไปกับลำไยส่งออกจึงได้จัดทำมาตรการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการปนเปื้อนของแมลงศัตรูพืช ณ โรงคัดบรรจุ โดยแบ่งการจัดการเป็น 2 ส่วน คือ พนักงานเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการ ผลจากการดำเนินการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบและรับรองสุขอนามัยพืชลำไยสดส่งออกไปจีน ทำให้จีนยอมรับในมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้ไทยสามารถส่งออกลำไยผลสดไปจีนได้ต่อไป
  • ถั่วเขียวพันธุ์ชัยนาท 3 กรมวิชาการเกษตรได้วิจัยปรับปรุงพันธุ์ถั่วเขียวให้มีผลผลิตสูง คุณภาพดีเหมาะสำหรับการแปรรูป จนได้ถั่วเขียวพันธุ์ชัยนาท 3 ให้ผลผลิตสูง 232 กิโลกรัมต่อไร่ ขนาดเมล็ดใหญ่ เหมาะสำหรับการเพาะถั่วงอก เกษตรกรนำไปปลูกในพื้นที่รวม 83,700 ไร่ ได้ผลผลิตถั่วเขียวจำนวน 11,878 ตัน สร้างรายได้ รวมมูลค่า 297 ล้านบาท ส่งผลให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองและเสริมสร้างระบบการผลิตที่ยั่งยืน
  • การพัฒนาเครื่องพ่นสารป้องกันกำจัดหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดแบบอุโมงค์ลม ปัญหาหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดระบาดมากกว่า 500,000 ไร่ มูลค่าความเสียหาย 3,400 ล้านบาท กรมวิชาการเกษตร ได้พัฒนาเครื่องพ่นสารแบบอุโมงค์ลมที่ใช้แรงลมความเร็วสูงช่วยทำให้ละอองสารตกสู่เป้าหมาย เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันกำจัดหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด และประหยัดสารควบคุมศัตรูพืชได้มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ชีวภัณฑ์เห็ดเรืองแสงสิรินรัศมีควบคุมไส้เดือนฝอยรากปม กรมวิชาการเกษตร ได้ศึกษาวิจัยพบเห็ดเรืองแสงสิรินรัศมีมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีผลต่อการตายของตัวอ่อนไส้เดือนฝอยรากปม ซึ่งเป็นระยะสำคัญที่ก่อให้พืชเป็นโรครากปม นอกจากนี้ในเส้นใยของเห็ดเรืองแสงยังมีสารออกฤทธิ์อื่นๆ สามารถใช้ควบคุมโรครากปมที่มีสาเหตุจากไส้เดือนฝอยรากปมที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับพืช เช่น ฝรั่ง พริก มะเขือเทศ มะละกอ กล้วย มันสำปะหลัง และพืชในวงศ์ผักชี 
  • แอปพลิเคชันวินิจฉัยโรคบนใบมันสำปะหลัง งานวิจัยนี้ได้ประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ มาเป็นเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์เชิงลึกร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนาโมเดลการจำแนกโรคที่แสดงบนใบมันสำปะหลัง พร้อมจัดทำเป็นระบบและคำแนะนำที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงผู้ใช้งานได้อย่างแพร่หลาย เป็นการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีให้แก่เกษตรกร  ซึ่งการวินิจฉัยอาการจากโรคและแมลงศัตรูพืชต่างๆ ได้เบื้องต้น เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยให้การปลูกมันสำปะหลังมีคุณภาพ 
  • ผลิตภัณฑ์สารสกัดพืช สะเดา+หางไหล และว่านน้ำ+หางไหล นาโนเทคโนโลยี ป้องกันกำจัดแมลงในพืชตระกูลกะหล่ำ งานวิจัยนี้ได้นำสารสกัดจากพืชมาผสมรวมกันเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป สูตรผสมสะเดา+หางไหล และว่านน้ำ+หางไหล เพื่อเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์ป้องกันกำจัดศัตรูพืช ร่วมกับการนำนาโนเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เพิ่มประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ของสารให้ได้ผลที่ดียิ่งขึ้น สนับสนุนนโยบายลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร และส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย  

“นอกจากนี้ ยังมีผลงานเด่นที่สำคัญ ได้แก่ การใช้ประโยชน์งานวิจัยด้านการศึกษาสถานภาพ พืชอนุรักษ์ : กล้วยไม้ดินสกุลเอื้องใบหมาก การค้นหาและพัฒนาเครื่องหมายสนิปส์ใหม่เพื่อร่นระยะเวลาการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลังให้มีไซยาไนด์ต่ำต้านทานโรครากปมและโรคใบด่างมันสำปะหลัง และการผลิตผักสลัดในระบบ Plant factory ซึ่งทุกผลงานวิจัยของ กรมวิชาการเกษตร ที่นำมาจัดแสดงนิทรรศการนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลงานวิจัยและเทคโนโลยีอีกจำนวนมากที่ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมาได้ถ่ายทอดไปสู่เกษตรกรเพื่อสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ก้าวไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว