7 สูตร "คลีนซิ่ง" เช็ดหน้า ล้างเครื่องสำอาง เผยผิวใส บนใบหน้า

7 สูตร "คลีนซิ่ง" เช็ดหน้า ล้างเครื่องสำอาง เผยผิวใส บนใบหน้า

คลีนซิ่ง (Cleansing) ผลิตภัณฑ์ลบเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกที่อยู่บนผิวหน้าในแต่ละวัน การใช้คลีนซิ่งที่เหมาะสมกับสภาพผิวจะช่วยลดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว

ผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพผิว การทำความสะอาดใบหน้าด้วยโฟมล้างหน้า และการบำรุงผิวอาจไม่เพียงพอ เพราะการอุดตันในรูขุมขนเกิดได้ง่ายกว่าที่คิด การล้างหน้าที่ไม่สะอาดเพียงพอจนสิ่งสกปรกหรือครีมบำรุงผิวไปอุดตันในรูขุมขน ทำให้เกิดปัญหาผิวขึ้นมาแทน ยิ่งใครแต่งหน้าเป็นประจำแต่ไม่ใช้ คลีนซิ่ง หรือใช้ที่ล้างเครื่องสำอางได้ไม่เหมาะสมต่อผิว จะยิ่งทำให้ผิวหน้าเกิดปัญหาไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือผิวดูหม่นหมองไม่สดใส และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ เพื่อให้การดูแลผิวนั้นเป็นไปอย่างสมบูรณ์ นอกจากการล้างหน้าและการบำรุงผิวแล้ว ขั้นตอนการใช้คลีนซิ่งหรือทำความสะอาดผิวหน้าก่อนล้างหน้านั้นเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องคำนึงถึงนั่นเอง

7 สูตร \"คลีนซิ่ง\" เช็ดหน้า ล้างเครื่องสำอาง เผยผิวใส บนใบหน้า

คลีนซิ่ง (Cleansing) คืออะไร?

Cleansing หรือ คลีนซิ่ง คือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่สามารถขจัดเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว กันแดด แม้กระทั่งสิ่งสกปรกจากมลภาวะต่างๆ ที่อยู่บนใบหน้าที่ไม่สามารถหลุดออกไปได้ด้วยน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว เพราะในองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดดมักจะมีส่วนผสมกลุ่มน้ำมันไม่มากก็น้อย หรืออาจมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กมาก จนสามารถสะสมอุดตันอยู่ในรูขุมขนได้และไม่สามารถละลายไปกับน้ำ ทำให้การล้างน้ำเปล่าจึงไม่สามารถขจัดสิ่งสกปรกได้อย่างเพียงพอ

คลีนซิ่ง มีคุณสมบัติเป็นสารชะล้าง จึงสามารถขจัดสิ่งสกปรกที่อยู่บนใบหน้าได้ดี การใช้ คลีนซิ่ง ล้างหน้าจึงช่วยลดการอุดตันจากไขมันหรือสิ่งสกปรกที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผิวได้ จึงทำให้ผิวหน้าสุขภาพดี 

7 สูตรคลีนซิ่ง อยากลดสิว หน้ามัน หน้าใส ใช้สูตรไหนดี

คลีนซิ่งแบบไหนดีที่สุด?

สภาพผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้น จึงมี คลีนซิ่ง หลากหลายสูตรออกมาจำหน่ายเพื่อตอบสนองต่อสภาพผิวของแต่ละคนได้ดี แล้วคลีนซิ่งมีกี่แบบกันล่ะ? สูตรคลีนซิ่งที่เป็นที่นิยมมีทั้งหมด 7 สูตรหลักๆ แล้วแต่ละสูตรมีความแตกต่างกันอย่างไรและเหมาะกับผิวแบบไหนบ้าง?

1. คลีนซิ่งวอเตอร์ (Cleansing Water)

คลีนซิ่งวอเตอร์ หรือ ไมเซล่าวอเตอร์ เป็นคลีนซิ่งสูตรน้ำที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือ Oil-Free สามารถลบเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกบนผิวหน้าได้ดี โดยคลีนซิ่งวอเตอร์จะมีความเบาบาง รู้สึกสบายผิวกว่าสูตรอื่นๆ เมื่อใช้ทำความสะอาดหน้า เหมาะกับผู้ที่ผิวมัน ผิวผสม โดยเฉพาะผิวเป็นสิวง่าย เรียกได้ว่าเป็นคลีนซิ่งสำหรับคนเป็นสิวเลยก็ว่าได้ 

ข้อจำกัดของคลีนซิ่งวอเตอร์คือ มีลักษณะเป็นน้ำทำให้มีความสามารถในการขจัดคราบที่เป็นน้ำมันได้ไม่มาก ทำให้ต้องใช้คลีนซิ่งเช็ดหน้าค่อนข้างเยอะ และในบางครั้งอาจต้องเช็ดหน้าซ้ำๆ ซึ่งการเช็ดหน้านานๆ ทำให้มีโอกาสที่ผิวจะระคายเคืองได้ง่าย หากคุณเป็นผู้ที่แต่งหน้าจัดๆ ใช้เครื่องสำอางกันน้ำ การทำความสะอาดหน้าด้วยคลีนซิ่งวอเตอร์อาจไม่ตอบโจทย์

2. คลีนซิ่งออยล์ (Cleansing Oil)

คือ คลีนซิ่งที่มีน้ำมันผสมอยู่มาก สามารถชะล้างคราบน้ำมันจากเครื่องสำอางได้ดี โดยเฉพาะเครื่องสำอางสูตรกันน้ำที่ไม่สามารถใช้น้ำล้างออกได้หมดจด และลดการเสียดสีระหว่างเช็ดเครื่องสำอางบนผิวหน้าได้ดี

นอกจากนี้ ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ดี เพราะคลีนซิ่งออยล์จะไม่ทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันขณะทำความสะอาดผิว ทำให้ใบหน้าไม่แห้งตึงหลังทำความสะอาด จึงเหมาะกับผู้ที่ผิวธรรมดาจนไปถึงผิวแห้ง

ข้อจำกัดของคลีนซิ่งออยล์คือ หากทำความสะอาดคลีนซิ่งออกไม่หมดมักจะเกิดการอุดตันได้ง่าย ผู้ที่มีผิวมันหรือผิวเป็นสิวง่ายเวลาใช้คลีนซิ่งออยล์จะรู้สึกหนักผิวมากกว่าคลีนซิ่งสูตรอื่นๆ

3. คลีนซิ่งเจล (Cleansing Gel)

คือ คลีนซิ่งล้างหน้าเนื้อเจล ซึ่งเนื้อจะขุ่นหรือใสขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ มีความอ่อนโยนกับผิวค่อนข้างมาก ใช้งานได้ง่าย เมื่อเช็ดทำความสะอาดผิวแล้วยังสามารถคงความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง เพราะคลีนซิ่งเจลมักมีส่วนผสมที่มีคุณสมบัติเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่ายและไม่ค่อยใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหน้าที่มีองค์ประกอบของน้ำมันมาก ไม่ค่อยแต่งหน้า เพราะคลีนซิ่งเจลมีความสามารถในการขจัดคราบเครื่องสำอางได้ไม่สูงหากเป็นผู้ที่แต่งหน้าหนักๆ จะต้องใช้เวลาในการเช็ดเครื่องสำอางนานกว่าจะทำความสะอาดได้หมด

4. คลีนซิ่งมิลค์ (Cleansing Milk) หรือคลีนซิ่งน้ำนม

คือ คลีนซิ่งเนื้อโลชั่น มีความขุ่นขาว จึงเรียกกันว่าคลีนซิ่งน้ำนม ซึ่งประเภทนี้มักมีความอ่อนโยน และมีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิวค่อนข้างมาก จึงทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้นหลังใช้ เหมาะกับผู้ที่มีผิวผสม ผิวบอบบางแพ้ง่าย และเหมาะกับผู้ที่เป็นสิว

ข้อจำกัดของคลีนซิ่งมิลค์ค่อนข้างคล้ายกับคลีนซิ่งเจล โดยผู้ที่แต่งหน้าหนามากๆ คลีนซิ่งมิลค์อาจทำความสะอาดได้ไม่หมด ทำให้ต้องทำความสะอาดซ้ำ แต่ลักษณะการใช้งานของคลีนซิ่งมิลค์ไม่จำเป็นต้องใช้สำลี จึงลดการเสียดสีของสำลีกับผิวหน้า ทำให้เกิดการระคายเคืองได้น้อยไม่ทำร้ายผิว

การใช้คลีนซิ่งมิลค์อาจต้องดูยี่ห้อดีๆ เพราะในบางยี่ห้ออาจหลงเหลือความมันบนใบหน้า ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ไม่สบายผิวหลังใช้งานได้

5. คลีนซิ่งบาล์ม (Cleansing Balm)

คือ คลีนซิ่งที่แตกต่างจากคลีนซิ่งชนิดอื่นๆ คือ มีเนื้อบาล์มแข็งๆ แต่เมื่อนำมาสัมผัสกับผิว ตัวคลีนซิ่งบาล์มจะละลายเป็นน้ำมัน หรือน้ำนม ทำให้เกลี่ยทำความสะอาดผิวได้ง่าย

ตัวคลีนซิ่งบาล์มจะมีคุณสมบัติคล้ายคลีนซิ่งออยล์ เพราะมีความเป็นน้ำมันเช่นกัน จึงสามารถขจัดคราบเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกที่ไม่ละลายน้ำได้เป็นอย่างดี โดยที่ยังคงความชุ่มชื้นบนใบหน้า ไม่ทำให้หน้าแห้งตึง และยังสามารถพกพาได้ง่ายไม่หกเลอะเทอะเพราะตัวคลีนซิ่งเป็นของแข็ง

ข้อจำกัดของคลีนซิ่งบาล์มเหมือนกับคลีนซิ่งออยล์ เนื่องจากมีส่วนประกอบเป็นไขมันหรือน้ำมันเหมือนกัน ทำให้อาจเกิดการอุดตันหรือปิดรูขุมขนได้ง่าย

6. คลีนซิ่งครีม (Cleansing Cream)

คลีนซิ่งครีมจะมีลักษณะที่คล้ายกับคลีนซิ่งมิลค์ แต่มีความหนืด ความข้นมากกว่าเนื่องจากมีส่วนผสมของออยล์ (oil) หรือแวกซ์ (wax) ที่มากกว่า จุดเด่นของคลีนซิ่งครีมคือสามารถคงความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ดี เหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ผิวแห้งมาก และยังทำความสะอาดเครื่องสำอางได้ดีมากจึงเหมาะกับผู้ที่แต่งหน้าหนาๆ อย่างยิ่ง

ข้อจำกัดของคลีนซิ่งครีมคือ เกิดการอุดตันได้ง่าย จึงไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวัน นอกจากนี้ คลีนซิ่งครีมยังล้างออกได้ยาก ทำให้ต้องใช้เวลาล้างหน้านานกว่าคลีนซิ่งแบบอื่นๆ

7. คลีนซิ่งแบบแผ่น (Cleansing Wipe)

คลีนซิ่งแบบแผ่น เป็นคลีนซิ่งที่ออกแบบมาเพื่อให้สามารถเช็ดเครื่องสำอางออกได้ทุกที่ทุกเวลา ใช้งานได้สะดวก พกพาได้ง่าย ซึ่งลักษณะของคลีนซิ่งแบบแผ่นจะคล้ายกับทิชชูเปียก สามารถดึงออกมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ เหมาะกับการเช็ดเครื่องสำอางระหว่างวัน หลังเช็ดเครื่องสำอางออกก็สามารถแต่งหน้าใหม่เปลี่ยนลุคได้ทันทีโดยไม่ต้องล้างออก เพราะส่วนมากคลีนซิ่งแบบแผ่นมักออกแบบมาให้สามารถใช้ได้โดยไม่ต้องล้างออกนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม คลีนซิ่งแบบแผ่น ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างคือราคาแพงและสิ้นเปลือง เพราะต้องใช้หลายแผ่นกว่าจะทำความสะอาดออกได้หมด นอกจากนี้ หากแต่งหน้าหนา การเช็ดใช้คลีนซิ่งแบบแผ่นเช็ดหน้าบ่อยๆ ทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่ายอีกด้วย

คลีนซิ่งมีประโยชน์อย่างไร?

ประโยชน์ของ คลีนซิ่ง (Cleansing) นอกจากจะใช้ทำความสะอาดผิวจากเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว และสิ่งสกปรกจากมลภาวะที่เกาะอยู่บนใบหน้าได้แล้วยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น

  • คลีนซิ่งลดสิวได้ เนื่องจากคลีนซิ่งล้างหน้าช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกในรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน สิวอักเสบหรือสิวเสี้ยน เมื่อไม่มีการอุดตันของสิ่งสกปรกจึงทำให้ไม่เกิดสิวนั่นเอง
  • คลีนซิ่งลดรอยสิวได้ คุณสมบัติของคลีนซิ่งบางตัวช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่าออก เมื่อเซลล์ผิวเก่าที่เป็นรอยสิวถูกผลัดออกไปทำให้เผยผิวใส ลดรอยสิวได้
  • คลีนซิ่งบำรุงผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น โดยคลีนซิ่งบางสูตรมีคุณสมบัติทำความสะอาดผิวหน้าได้โดยยังคงรักษาความชุ่มชื้นแก่ผิว ไม่ให้ผิวแห้งกร้าน
  • คลีนซิ่งลดความมันบนผิวหน้าได้ บางสูตรสามารถทำให้หน้าไม่มันดูสะอาดมากกว่าเดิม
  • คลีนซิ่งเพิ่มความสดชื่นให้กับผิวได้ เมื่อทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดเหงื่อไคลมาก การใช้คลีนซิ่งเช็ดหน้าจะช่วยให้ผิวสะอาดสดชื่นขึ้น
  • เช็ดคราบเครื่องสำอางที่เลอะในระหว่างวัน โดยไม่ต้องล้างหน้าออกทั้งหมด เพียงการหยดคลีนซิ่งลงบนก้านสำลีและเช็ดเฉพาะบริเวณที่ต้องการ

วิธีการใช้คลีนซิ่ง

คลีนซิ่ง เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าจากเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดดที่ออกแบบมาเพื่อใช้ก่อนจะล้างหน้า โดยตัวคลีนซิ่งจะมีคุณสมบัติเป็นสารชะล้าง ทำให้สามารถขจัดไขมัน น้ำมันออกได้ดี แล้วการใช้คลีนซิ่งมีวิธีการใช้อย่างไรให้ถูกวิธี?

คลีนซิ่งจะใช้ในขั้นตอนแรกสุดของการทำความสะอาดผิวหน้า จะใช้เมื่อผิวยังมีเครื่องสำอางหรือสิ่งสกปรกอยู่ โดยที่ผิวยังไม่เปียกน้ำ เพราะจะทำให้สามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่า มีขั้นตอนการใช้คลีนซิ่งดังนี้

  1. คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตา โดยใช้สำลีที่ชุบด้วยคลีนซิ่งแปะทิ้งไว้บนเปลือกตาสักพักหนึ่งแล้วจึงเช็ดลากออกไปด้านข้างอย่างเบามือก็สามารถทำให้เครื่องสำอางรอบดวงตาหลุดออกได้โดยไม่ต้องออกแรง
  2. คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางริมฝีปาก มีวิธีการเช็ดที่เหมือนกับการทำความสะอาดรอบดวงตา คือให้ใช้สำลีที่ชุบคลีนซิ่งแปะบนริมฝีปากสักพัก จากนั้นค่อยเช็ดออกเบาๆ
  3. คลีนซิ่งเช็ดหน้า โดยใช้สำลีที่ชุบคลีนซิ่งเช็ดใบหน้าในทิศทางตามแนวรูขุมขน เพื่อให้สามารถทำความสะอาดได้อย่างหมดจด ลดการอุดตันในรูขุมขนได้

การใช้ คลีนซิ่ง สำคัญต่อการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างมาก ดังนั้น การเลือกคลีนซิ่งที่ดีที่สุดกับผิวหน้าจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง

คลีนซิ่ง Bioderma Sensibio H2O

คลีนซิ่งสูตรน้ำที่มีการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี Biometic micellar สามารถทำความสะอาดผิวหน้าจากสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง แม้กระทั่งฝุ่นละออง ฝุ่น PM2.5 ได้อย่างล้ำลึก ลดการอุดตันภายในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาสิว อีกทั้ง ยังสามารถเป็นเกราะป้องกันผิว ไม่ให้ผิวถูกทำร้ายจากมลภาวะอีกด้วย

นอกจากนี้ คลีนซิ่ง Bioderma Sensibio H2O ยังปราศจากสารก่อระคายเคืองและแอลกอฮอล์ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแดงแพ้ง่าย ผิวบอบบาง ถึงแม้ว่าคลีนซิ่งสูตรน้ำมักจะทำให้ผิวแห้งง่าย แต่คลีนซิ่ง Bioderma Sensibio H2O มีส่วนผสมจากสารสกัดจากแตงกวา ซึ่งทำให้ผิวสามารถคงความชุ่มชื้นได้ดี ไม่ระคายผิวหลังใช้งาน

7 สูตร \"คลีนซิ่ง\" เช็ดหน้า ล้างเครื่องสำอาง เผยผิวใส บนใบหน้า

คลีนซิ่ง คลีนเซอร์ โทนเนอร์ แตกต่างกันอย่างไร

เมื่อพูดถึงการทำความสะอาดผิวหน้ามักจะมีคลีนซิ่ง คลีนเซอร์ และโทนเนอร์ เข้ามาในวงสนทนาด้วย แต่ทั้ง 3 อย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง? ต้องใช้ทุกตัวเลยหรือไม่ สามารถข้ามไม่ใช้บางตัวได้ไหม มาดูกันเลย

  • คลีนซิ่ง (Cleansing)

คลีนซิ่ง คือผลิตภัณฑ์ลบเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว และสิ่งสกปรกต่างๆ บนผิวหน้าที่มีคุณสมบัติไม่ละลายน้ำ ทำให้ไม่สามารถหลุดออกจากใบหน้าได้ง่าย การใช้คลีนซิ่งจะใช้ในขั้นตอนแรกของการทำความสะอาดใบหน้า เพราะจะช่วยเคลียร์ผิวให้สะอาดที่สุดก่อนที่จะล้างหน้าในขั้นตอนต่อไป

  • คลีนเซอร์ (Cleanser)

คลีนเซอร์ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า จะใช้ในขั้นตอนหลังจากทำความสะอาดผิวหน้าด้วยคลีนซิ่งแล้ว โดยคลีนเซอร์จะช่วยกำจัดแบคทีเรียบนใบหน้า การชะล้างไขมัน น้ำมันส่วนเกินบนผิวหน้าเพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันจนเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว โดยคลีนเซอร์จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้คู่กับน้ำ จะต้องล้างออกหลังใช้ทุกครั้ง รูปแบบของคลีนเซอร์มีหลากหลาย เช่น โฟมล้างหน้า เจลล้างหน้า สบู่ล้างหน้า เป็นต้น

  • โทนเนอร์ (Toner)

โทนเนอร์ เป็นผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดหน้าที่ใช้หลังจากการล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ ซึ่งคุณสมบัติหลักๆ คือ การปรับสมดุลผิวหลังล้างหน้า ลดความมัน กระชับรูขุมขน นอกจากนี้ ยังเป็นการเริ่มต้นของการบำรุงผิว เพราะโทนเนอร์จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ผิวและทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม

7 สูตร \"คลีนซิ่ง\" เช็ดหน้า ล้างเครื่องสำอาง เผยผิวใส บนใบหน้า

คำถามที่พบบ่อยเรื่องคลีนซิ่ง

1. ไม่แต่งหน้าต้องใช้คลีนซิ่งหรือไม่?

หลายคนคงจะสงสัยกันว่า ถ้าไม่แต่งหน้าต้องใช้คลีนซิ่งไหม มันจำเป็นด้วยเหรอ? หากคุณไม่ได้แต่งหน้าแต่ยังมีการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สกินแคร์ หรือครีมกันแดด การล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์หรือโฟมล้างหน้าเพียงอย่างเดียวอาจทำความสะอาดผิวได้ไม่เพียงพอและอาจทำให้เกิดการอุดตันกลายเป็นสิวในภายหลังได้

ดังนั้น การใช้ คลีนซิ่ง ก่อนทำความสะอาดหน้าจะเป็นตัวช่วยในการเคลียร์ผิวให้สะอาดมากขึ้น ลดโอกาสการเป็นสิวและปัญหาผิวอื่นๆ ตามมานั่นเอง

แล้วถ้าเกิดว่าไม่ใช้แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเลยล่ะ ยังจำเป็นต้องใช้คลีนซิ่งอยู่หรือไม่? ถึงแม้ว่าคุณไม่ใช้แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือครีมกันแดดใดๆ แต่ในแต่ละวันผิวหน้าคุณยังต้องเผชิญกับสิ่งสกปรก มลภาวะต่างๆ เป็นที่มาของการเกิดสิวได้ง่าย ดังนั้น การใช้คลีนซิ่งจะช่วยให้ผิวคุณสะอาดมากขึ้น ลดการอุดตันจากสิ่งสกปรกได้

2. คลีนซิ่งต้องล้างออกไหม

ปกติแล้ว คลีนซิ่ง (Cleansing) เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้าที่ออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดเครื่องสำอางหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่อยู่บนผิวหน้าโดยใช้ในขั้นตอนแรก ก่อนที่จะลงคลีนเซอร์หรือโฟมล้างหน้าที่ต้องใช้น้ำล้างออกนั่นเอง แต่ก็มีผลิตภัณฑ์คลีนซิ่งบางยี่ห้อที่มีการพัฒนาสูตรทำให้สามารถใช้คลีนซิ่งได้โดยไม่ต้องล้างออก ซึ่งคลีนซิ่งที่ไม่ต้องล้างออกมักเป็นสูตรที่ไม่มีน้ำมันในสูตร เพื่อไม่ให้เกิดความเหนียวเหนอะหนะบนใบหน้า