ไทยยูเนี่ยน จับมือ ADB เปิดตัว Blue Loan หนุนเพาะเลี้ยงกุ้งไทยสู่ความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยน จับมือ ADB เปิดตัว "Blue Loan" 5 พันล้านบาท ปักหมุดปฏิวัติวงการเพาะเลี้ยงกุ้งไทยสู่ความยั่งยืน
ท่ามกลางความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เดินหน้าตอกย้ำบทบาทผู้นำความยั่งยืนใน อุตสาหกรรมอาหารทะเล ระดับโลก ด้วยความร่วมมือครั้งสำคัญกับ ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB เปิดตัว “Blue Loan” ซึ่งเป็นเงินกู้เพื่อความยั่งยืนทางทะเลภายใต้กรอบ Blue and Green Finance Framework ซึ่งไทยยูเนี่ยนนับเป็นบริษัทเอกชนในอุตสาหกรรมอาหารทะเลแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการสนับสนุนจาก ADB
วงเงินกู้ Blue Loan จำนวน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5,000 ล้านบาท ที่ได้รับในครั้งนี้ จะถูกนำไปใช้ขับเคลื่อนเป้าหมายการเพาะเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืนและเป็นต้นแบบในการสร้างเศรษฐกิจสีน้ำเงิน หรือ Blue Economy ที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน ที่คำนึงถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเลให้สมดุลและยั่งยืนในระยะยาว
อดัม เบรนนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืนและการสื่อสาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบคือสิ่งที่ ไทยยูเนี่ยน ให้ความสำคัญ ที่นี่เรามีกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ที่ครอบคลุมการดูแลผู้คน ดูแลโลก และมหาสมุทร เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลกดีขึ้น นับเป็นพันธกิจที่ท้าทายเพราะต้องอาศัยพลังและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล องค์กรเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน ที่จะช่วยกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อโลกของเรา
กลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ของ ไทยยูเนี่ยน มีทั้งหมด 11 พันธกิจ ซึ่งครอบคลุมการดูแลผู้คนและโลกด้วย โดยเรื่อง Blue loan ในครั้งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพันธกิจที่ว่าด้วยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างมีความรับผิดชอบ
“กุ้งเพาะเลี้ยงทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ของเรา จะต้องผลิตขึ้นโดยส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน้อยที่สุด และสอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้านสวัสดิการและสภาพการทำงานของอุตสาหกรรมอาหาร”
“ไทยยูเนี่ยน” มีนิยามการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน 4 ด้านหลัก ได้แก่
- ต้องได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับโดยองค์กร GSSI เช่น BAP และ ASC หรืออยู่ในโครงการพัฒนา (AIP) ที่มีความน่าเชื่อถือ
- สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงระดับฟาร์มและ feed
- อาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งต้องผลิตขึ้นอย่างมีความรับผิดชอบ
- ฟาร์มต้องเป็นสถานที่ทำงานที่มีคุณค่าและปลอดภัย
การร่วมมือกับ ADB ในเรื่อง Blue Loan ครั้งนี้เป็นเหมือนตัวช่วย ที่จะช่วยให้บริษัทฯ เดินหน้าไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มิติทางสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น และมิติทางเศรษฐกิจ ที่สร้างมาตรฐานและเงื่อนไขใหม่ในตลาดเงิน พร้อมพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับทะเลตลอดจน สร้างความมั่นคงทางอาหารให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
อานุช เมธา ผู้อำนวยการสำนักงานผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เน้นย้ำว่า “Blue Finance” จะเป็นแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญใน อุตสาหกรรมอาหารทะเล โดยเฉพาะในเอเชียที่เป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลกว่าครึ่งหนึ่งของโลก ความร่วมมือนี้จึงแสดงถึงศักยภาพทางการเงินในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สำหรับ ADB ได้จัดสรรวงเงินกู้ให้ภาคเอกชนอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทยครั้งแรก เพื่อสร้างกระบวนการผลิตกุ้งให้ยั่งยืนและเข้มแข็งขึ้น การผนึกกำลังจากหลากหลายภาคส่วนเพื่อสร้างความยั่งยืนให้อุตสาหกรรมนี้ทำให้ไทยเป็นต้นแบบที่ดีในการนำนวัตกรรมการเงินมาเป็นเครื่องมือปกป้องทรัพยากรทางทะเล พร้อมทั้งดูแลความเป็นอยู่ผู้คนและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน
สำหรับความท้าทายใหญ่ที่สุดในการขับเคลื่อน Blue Economy ของไทยคือ “ภาคการเงิน” แม้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยเฉพาะ SDG-14 จะเป็นแนวทางสำคัญแต่ยังเป็นเป้าหมายที่ได้รับสินเชื่อสนับสนุนน้อยที่สุด
การได้รับเงินกู้ Blue Loan จาก ADB จึงเป็นก้าวสำคัญของภาคการเงินและอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ ADB สนับสนุนการเงินแก่ภาคเอกชนใน อุตสาหกรรมอาหารทะเล ของไทย และ ไทยยูเนี่ยน เป็นบริษัทแรกในอุตสาหกรรมที่ได้รับสินเชื่อประเภทนี้
หากย้อนกลับไปในปี 2564 จะเห็นว่าไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าแรกที่ออก Sustainability Linked Loan (SLL) และ Sustainability Linked Bond (SLB) และได้รับการตอบรับอย่างดีจากภาคเอกชนและนักลงทุน เพราะตอบโจทย์ตรงใจสอดคล้องกับเทรนด์โลกด้านความยั่งยืน
วงเงินกู้เพื่อความยั่งยืนทางทะเลในครั้งล่าสุดที่ได้รับจาก ADB ครั้งนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยจะติดตามปริมาณกุ้งที่ได้รับการรับรองที่จัดหาผ่านธุรกิจนี้อย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน การริเริ่มความร่วมมือครั้งนี้ยังได้สร้างกรอบการดำเนินงานด้านการเงิน (Financing Framework) รายแรกของไทยที่สอดคล้องกับมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ระยะที่ 2 (Thailand’s Taxonomy Phase 2) และเป็นหนึ่งในทางเลือกเพื่อใช้อ้างอิงสำหรับการเข้าถึงบริการและเครื่องมือทางการเงินอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีในฟาร์มอัจฉริยะ มาใช้ในโครงการนำร่องฟาร์มกุ้งคาร์บอนต่ำ เพื่อลดต้นทุนพลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ อีกด้วย
ลูโดวิค การ์นิเย่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือกับ ADB ในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำ อุตสาหกรรมอาหารทะเล อย่างยั่งยืน และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ไทยยูเนี่ยน ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบผ่านกระบวนการผลิตอาหารทะเล จัดหาวัตถุดิบ และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนา Blue Economy ของประเทศไทยให้เติบโตต่อเนื่อง
ไทยยูเนี่ยน เชื่อว่า ทุกความท้าทายย่อมมีโอกาส และความยั่งยืนคือหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบโจทย์เรื่องการดูแลสุขภาพผู้คนและสุขภาพท้องทะเล หรือ “Healthy Living and Healthy Oceans” ที่จะมุ่งคืนความสมดุลให้กับระบบนิเวศทางทะเล และอนาคตที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไปนอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังคงทำงานร่วมกับพันธมิตรหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาคประชาสังคม (CSOs) องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนระดับโลก เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงวงกว้าง เช่น ความร่วมมือกับ The Nature Conservancy เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านความโปร่งใสในซัพพลายเชนและเพิ่มการตรวจสอบด้วยระบบดิจิทัล ในโครงการติดตั้งเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เพื่อตรวจสอบบนเรือประมงเบ็ด ให้ได้รับการตรวจสอบและสังเกตุการณ์ผ่านระบบออนไลน์หรืออยู่บนเรือขณะปฏิบัติงานจริง
ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะยกระดับ ไทยยูเนี่ยน ให้เป็นผู้นำ อุตสาหกรรมอาหารทะเล ที่ยั่งยืน แต่เป็นสัญญาณสำคัญที่กระตุ้นให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุค Blue Economy เต็มตัว







