ก.ล.ต. และภาคตลาดทุน สนับสนุนการดำเนินธุรกิจคาร์บอนต่ำ

ก.ล.ต. และภาคตลาดทุน สนับสนุนการดำเนินธุรกิจคาร์บอนต่ำ

ก.ล.ต. และภาคตลาดทุน สนับสนุนการดำเนินธุรกิจคาร์บอนต่ำ

"ภาคตลาดทุนไทยมีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งเงินทุนและเป็นตัวกลางในการจัดสรรเงินทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบัน ก็เป็นที่ประจักษ์ว่าบริษัทที่คำนึงถึง ESG รวมถึงนโยบายด้าน Climate Change ด้วยนั้น สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อดึงดูดความสนใจและเงินลงทุนจากทั้งในประเทศและสากลที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้”

สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และ บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด (PwC) จัดงานสัมมนาออนไลน์ Carbon CEO Dialogue หัวข้อ “นโยบายเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจคาร์บอนต่ำ : ร่วมส่งเสริมนโยบายการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและเป้าหมาย Carbon Neutrality ของไทย” โดยได้รับเกียรติจาก นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นโยบาย ความคาดหวัง และทิศทางการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย” เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564

ก.ล.ต. และภาคตลาดทุน สนับสนุนการดำเนินธุรกิจคาร์บอนต่ำ

งานสัมมนาในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการดำเนินธุรกิจที่มีสาเหตุมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมุ่งเน้นความร่วมมือจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะเป็นแบบอย่างที่ดีและส่งผลให้เกิดการนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในองค์กร (Tone from the top)  ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ยุค Net Zero ซึ่งการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission)  

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า “ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นต้นแบบ Decarbonization ของภูมิภาคอาเซียน ในการเปลี่ยนถ่ายระบบเศรษฐกิจไทยไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องในประเทศตามมารวมถึงดึงดูดอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ๆ ในประเทศ ในส่วนของภาคตลาดทุนไทยมีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งเงินทุนและเป็นตัวกลางในการจัดสรรเงินทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบัน ก็เป็นที่ประจักษ์ว่าบริษัทที่คำนึงถึง ESG รวมถึงนโยบายด้าน Climate Change ด้วยนั้น สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อดึงดูดความสนใจและเงินลงทุนจากทั้งในประเทศและสากลที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้” 

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ก.ล.ต. สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของตลาดทุนไทยในมิติต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดประเด็นความยั่งยืนเป็นหนึ่งในเรือธงของแผนยุทธศาสตร์ของ ก.ล.ต. สอดรับกับการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ โดยกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแบบ 56-1 One Report ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถของภาคธุรกิจให้บริหารจัดการกับความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญที่เกิดจากสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และจะมีผลใช้บังคับในปี 2565”