โนโว นอร์ดิสค์ทุ่ม 300 ล้านลงทุนธุรกิจยา พัฒนานวัตกรรมใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย

โนโว นอร์ดิสค์ทุ่ม 300 ล้านลงทุนธุรกิจยา พัฒนานวัตกรรมใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย

เชื่อมั่นระบบสาธารณสุขไทยแข็งแกร่ง เปิดโอกาสเข้าถึงยาคุณภาพ วางแผน 5 ปี ผลักดันอุตสาหกรรมยาเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

โนโว นอร์ดิสค์ สยายปีกธุรกิจยา หลังวิกฤตโควิด กระตุ้นคนไทยดูแลสุขภาพ หนุนรายได้เติบโตทุบสถิติกว่า 2,200 ล้านบาท ย้ำเชื่อมั่นระบบสาธารณสุขไทยแข็งแกร่ง เปิดโอกาสเข้าถึงยาคุณภาพ วางแผน 5 ปี ตั้งงบลงทุน 300 ล้านบาท พัฒนานวัตกรรมใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ผลักดันอุตสาหกรรมยาเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

นายจอห์น ดอว์เบอร์ รองประธานกรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า วิกฤตโควิด 19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายด้านในอุตสาหกรรมยาทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย การผนึกกำลังกันของรัฐบาลของแต่ละประเทศ ภาคอุตสาหกรรม และองค์การอนามัยโลก (WHO) ในการพัฒนาวัคซีนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของอุตสาหกรรมยาที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยาต่อไปในระยะยาว

สำหรับบริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา ประเทศไทย ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลา 35 ปี โดยเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ในกลุ่มโรคเบาหวาน ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 55,000 ล้านบาทในประเทศไทย ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคเบาหวาน 5-6 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุหลักมาจากกรรมพันธุ์และพฤติกรรมในการใช้ชีวิต ขณะที่ผู้มีปัญหาน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนมีจำนวนถึง 20 ล้านคน เป็นอันดับสองในภูมิภาคอาเซียนรองจากประเทศมาเลเซีย

นายจอห์น กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังและดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้โรงพยาบาลมีการสั่งซื้อยาเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เพื่อเตรียมยาให้เพียงพอสำหรับผู้ป่วยที่อาจจะต้องเลื่อนนัดพบแพทย์ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานที่เสี่ยงสัมผัสโรคโควิด 19 ทำให้เดือนมีนาคม 2563 มียอดสั่งยาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขณะที่ระบบการขนส่งมีปัญหา ทำให้บริษัทต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อนำยามาส่งให้ถึงมือผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด

"ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2563 ที่มีอุปสงค์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ยาที่มีในสต๊อกก็ต่ำมาก ขณะที่ระบบขนส่งหลายประเทศมีปัญหา ทำให้เราต้องส่งสินค้าทางเครื่องบินจากประเทศหนึ่ง ไปอีกประเทศหนึ่ง กว่าจะถึงประเทศไทย แต่ถือเป็นโชคดีที่ไม่กระทบกับผู้ป่วย และเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นโครงการนำร่อง ที่ทำให้เราได้ถอดบทเรียนเพื่อการวางแผนบริหารจัดการที่ดีในอนาคต" นายจอห์นกล่าว

ในปี 2563 ที่ผ่านมา ด้วยความต้องการยาเบาหวานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตถึง 20% หรือมีรายได้รวม 2,200 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในประเทศไทย ปัจจุบันสัดส่วนธุรกิจจากกลุ่มยาโรคเบาหวานคิดเป็นสัดส่วน 80% ของรายได้รวม อีก 20% มาจากโรคอ้วน และธุรกิจชีวเภสัชภัณฑ์ ซึ่งดูแลกลุ่มโรคหายาก (Rare Disease) เช่น ฮีโมฟีเลีย และความผิดปกติของการเจริญเติบโต

นายจอห์น กล่าวว่า สถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขไทย การสนับสนุนที่ดีจากรัฐบาลในการดูแลสุขภาพของคนไทยผ่านระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงความร่วมมือที่ดีระหว่างรัฐบาลกับภาคอุตสาหกรรมยา บริษัทจึงมองเป็นโอกาสที่ดีในการตัดสินใจลงทุนระยะยาวในประเทศไทย โดยวางแผนในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2564-2568) จะใช้เงินลงทุน 300 ล้านบาท ในการพัฒนาและวิจัยนวัตกรรมยาชนิดใหม่ ทั้งในกลุ่มโรคเบาหวาน โรคอ้วน รวมถึงขยายธุรกิจยาในกลุ่มโรคอัลไซเมอร์ โรคตับ และไต

"สำหรับประเทศไทยนั้น มีระบบบริการสุขภาพ การประกันสุขภาพถ้วนหน้า และความคุ้มครองที่ครอบคลุมจากรัฐบาล ทำให้ประชาชนชาวไทยเข้าถึงการรักษาที่ดีมากกว่าในประเทศอื่น ๆ การเข้าถึงยาที่มีคุณภาพของไทยนั้นดีเทียบเท่าประเทศตะวันตกและในบางประเทศของทวีปยุโรป ผมคิดว่าการลงทุนในครั้งนี้ จะทำให้โนโว นอร์ดิสค์ ประเทศไทยมีโอกาสเติบโตที่ดีในระยะยาว" นายจอห์น กล่าว

 บริษัทได้ยึดมั่นในแนวทางการดำเนินธุรกิจใน 4 ด้าน (4P) สำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนความสำเร็จของโนโว นอร์ดิสค์ ในประเทศไทย ได้แก่

1. การเป็นพันธมิตร (PARTNERSHIP) กับรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รวมถึงความสัมพันธ์ทางวิชาชีพที่ยอดเยี่ยมกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ

2. ผลิตภัณฑ์ (PRODUCTS) การมุ่งมีผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยม

3. บุคลากร (PEOPLE) มีบุคลากรที่ยอดเยี่ยมในบริษัทฯ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่ยอดเยี่ยม และทีมแพทย์

4. แรงผลักดัน (PASSION) เพื่อนร่วมงานของโนโว นอร์ดิสค์ทุกคน มีความกระตือรือร้นอย่างมากที่จะดูแลชีวิตของผู้ป่วยชาวไทย แม้ในช่วงสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้น

"นอกจากนี้ โนโว นอร์ดิสค์ยังให้ความสำคัญกับความเป็นองค์กรสีเขียว การรีไซเคิล และความยั่งยืนอย่างจริงจัง โดยตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 การใช้ไฟฟ้าภายในจะเป็นพลังงานสีเขียวทั้งหมด และจะมีการริเริ่มโครงการเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมไทยอีกมากมายในอีก 3 ปีนับจากนี้" นายจอห์นกล่าวทิ้งท้าย