พิการกาย แต่ “ใจ” ไม่ภาระ

พิการกาย แต่ “ใจ” ไม่ภาระ

 

หากเลือกได้ ทุกคนคงไม่มีใครอยากเป็น “ภาระ” แต่เพราะร่างกายที่ไม่ครบ 32 เหมือนใคร...จึงไม่ใช่เรื่องผิด หาก “คนพิการ” จะขอใช้สิทธิ์ที่พึงมี เพื่อขอพื้นที่ให้สามารถยืนหยัดบนขาตัวเอง โดยไม่พึ่งพาใครบ้างวันนี้

ในวันที่สังคมโลกพยายามประกาศสร้างความ “เท่าเทียม” อีกมุมหนึ่งยังมีเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ “คนพิการ” ในประเทศไทยกว่า 1.8 ล้านคนนั้น กลับมีถึงร้อยละ 40.31 ที่ไม่มีงานไม่มีอาชีพ

แล้วประเทศไทยเราจะหาทางออกอย่างไร ในเมื่อคนพิการก็ต้องกินต้องใช้ไม่ต่างคนทั่วไปเหมือนกัน

 

1.

ประเทศไทยมีผู้พิการทางการเคลื่อนไหวร่างกายมากที่สุด คือร้อยละ 3  และมีแค่เพียงร้อยละ 1 เท่านั้น ที่จบการศึกษาปริญญาตรี ซึ่งนี่อาจเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนพิการวัยแรงงานไม่มีงานทำ

 “ถ้าคนพิการเขาไม่มีอาชีพ ไม่มีงานทำ ก็จะไม่มีวันพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุสำคัญหนึ่งที่ส่งผลกระทบไปสู่ปัญหาทางด้านจิตใจและร่างกายของคนพิการ ที่เรามองว่ามันไม่ตอบโจทย์เรื่องสุขภาวะคนพิการ” ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เล่าถึงเหตุจูงใจ ที่ สสส.หันมาส่งเสริมเรื่องการจ้างงานคนพิการมากขึ้น

ซึ่งผลจากการผลักดันโครงการ “เพิ่มโอกาสการมีอาชีพและมีงานทำของคนพิการ" ภายใต้การปฎิบัติงานตาม มาตรา 35 แห่ง พรบ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นการส่งเสริมอาชีพคนพิการในหลายรูปแบบที่เริ่มมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้นตลอดกว่าสองปีที่ผ่านมา

หนึ่งผลพวงของการขับเคลื่อนเพื่อคนพิการ ประจักษ์ในวันที่ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน “พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ชุมชนร่วมใจ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โดย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพคนพิการ(ศูนย์ล้อไม้บ้านทรัพย์สมบูรณ์) อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น อีกหนึ่งโครงการที่ สสส. ได้ดำเนินโครงการพัฒนาเครือข่ายคนพิการ และพัฒนาศูนย์เรียนรู้คนพิการด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จังหวัดขอนแก่น ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตดี มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม และภาคีเครือข่ายคนพิการ 

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า ปัจจุบัน สสส.มีภาคีเครือข่ายร่วมดำเนินงานในพื้นที่ 1,773 หน่วยงานทั่วประเทศ โดยในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น “ขอนแก่น” เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบ ของการขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพคนพิการ ลดข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในกระบวนการจ้างงานคนพิการ การสร้างประสิทธิภาพของกลไกการสร้างโอกาสการเข้าถึงอาชีพและการมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต และมีสุขภาวะดีขึ้น โดยการมีส่วนร่วมและความร่วมมือทุกภาคส่วน 

ซึ่งการจ้างงานคนพิการรูปแบบนี้ มิได้ทำเพียงเพื่อทำตามกฎหมายกำหนด หากแต่การเปลี่ยนจากส่งเงินเข้ากองทุนมาจ้างงานคนพิการ ยังเป็นการส่งเสริมโอกาสให้คนในสังคมมีอาชีพ มีศักยภาพอย่างเท่าเทียม และเหมาะสม

“พื้นที่ขอนแก่นเน้นการใช้องค์ความรู้ในการขยายเครือข่ายคนพิการ และผู้ดูแลให้รวมตัวร่วมคิดร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมทำงานจนพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองได้ และเป็นที่ยอมรับของชุมชน มีกระบวนการทำงานที่โดดเด่น สามารถสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ในรูปแบบประชารัฐดูแลคนพิการ และส่งผลให้เกิดการจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 และ 35 ในหน่วยงานต่างๆ”

 

2.

แนวทางดังกล่าวยังสร้างทางเลือกเพิ่มให้ผู้ประกอบการและคนพิการ เพราะมีความยืดหยุ่นที่เปิดโอกาสให้คนพิการที่มีการรวมกลุ่มกัน ทั้งคนพิการมากและคนพิการน้อย รวมทั้งผู้ดูแลได้มีโอกาสเข้าถึงการมีงานทำและมีรายได้มากขึ้น โดยยังขยายไปสู่โครงการสำคัญที่ส่งเสริมอาชีพคนพิการในกิจกรรมต่างๆ อาทิ ศูนย์ล้อไม้คนพิการบ้านทรัพย์สมบูรณ์ โดยสนับสนุนคนพิการที่มีศักยภาพให้พัฒนาผลิตภัณฑ์จนพึ่งตนเองได้

“ธนาคารต้นไม้” ที่เชื่อมโยงและพัฒนาให้เกิดการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อสังคม เป็นโมเดลรองรับ พรบ.วิสาหกิจชุมชนด้านสุขภาพ คนพิการสามารถระดมทรัพยากรในพื้นที่มาแปรรูป เป็นต้นทุนในการผลิต เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ในเชิงธุรกิจ จนเกิดรายได้ให้แก่คนพิการ และผู้ดูแลคนพิการได้

นพ.อภิสิทธิ์ ธำรงวรางกูร  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุบลรัตน์ เล่าถึงจุดเริ่มของการจ้างงานคนพิการในโรงพยาบาลอุบลรัตน์  ตามมาตรา 35 ว่า

“ในอดีตเรามีหลายหน่วยงานที่ช่วยบริจาคให้โรงพยาบาล แต่เห็นว่าการบริจาคเป็นการให้เงินมาสมทบอย่างเดียวก็รู้สึกเสียดายโอกาส จึงพยายามมองหาวิธีที่จะให้เงินบริจาคนั้นเกิดประโยชน์มากขึ้น”

หลังได้รับทราบว่ามูลนิธินวัตกรรมทางสังคม มีการนำเสนอทางเลือกจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 และ 35 ทางโรงพยาบาลจึงเกิดแนวคิดที่จะให้คนพิการเข้ามาทำงานจิตอาสาทั้งในโรงพยาบาลและชุมชน ภายใต้การสนับสนุนของภาคเอกชน

“กิจกรรมเราเริ่มนำร่องมาตั้งแต่ปี 2558 โดยร่วมมือกับมูลนิธิโอสถสภา โดยจ้างคนพิการทำงานจิตอาสาไปช่วยสร้างกำลังใจคนพิการด้วยกัน ไปช่วยทำห้องน้ำให้ผู้พิการ ช่วยพาเขาลุกจากเตียง ออกจากบ้าน ซึ่งตรงนั้นเราก็มองว่าดี แต่มาคิดต่อว่าคนพิการต้องมีรายได้ที่มั่นคงเลี้ยงตัวเองได้ ก็เลยมาคิดว่าทำอย่างไรให้เขาพึ่งพาตัวเองได้ โชคดีที่มี มาตรา 35 เพราะทำให้เราสามารถจ้างงานเขามีรายได้ประจำ ในขณะเดียวกันโรงพยาบาลก็มองว่าอยากให้เอกชน กลุ่มบริษัทห้างร้านเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเรา”

แน่นอนว่ามีผู้พิการหลายชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับโอกาสนี้ ไม่ว่าจะเป็น

“นพดล” ผู้พิการแขนขาลีบ ที่วันนี้เขาไม่ต้องหาปูปลาหาเงินเลี้ยงปากท้องและครอบครัว เพราะสองปีที่ผ่านมา เขาสามารถมีรายได้ที่มั่นคงกว่า จากการเป็นพนักงานบริการที่โรงพยาบาลอุบลรัตน์

ขณะที่ “ลุงเหรียญ แสนเสริญ” อดีตพนักงานขับรถวัย 67 ที่แม้วันนี้จะอยู่ในวัยเกษียณและเป็นผู้พิการได้ยิน แต่ก็ยังเชื่อว่าตัวเองมีศักยภาพ จึงมาเปิด “เหรียญ บาร์เบอร์” บริการตัดผมฟรีแลกกับรายได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร

ด้าน “สุวิทย์” ผู้พิการทางสายตา ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพราะก็มาประจำการ เป็นพนักงานบริการนวดฟรีให้แก่ผู้มาใช้บริการที่โรงพยาบาลเป็นประจำทุกวันทำการ งานที่ทำให้เขารู้สึกได้ทั้งศักดิ์ศรีความภูมิใจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“ผมมาทำตรงนี้เป็นปีที่ 2 แล้ว หมอไปหาที่บ้านเลย ถามว่าเราทำอะไรได้บ้าง ผมก็เลยบอกผมนวดได้ ก็เลยให้มาบริการนวดที่นี่ฟรี ไม่คิดเงิน แต่ถ้าใครอยากบริจาคเราก็มีกล่องตั้งไว้ข้างๆ ซึ่งตรงนี้เราจะนำเงินส่งสมทบมูลนิธิโรงพยาบาลอุบลรัตน์ต่อ” สุวิทย์เอ่ยถึงภารกิจของเขาในปัจจุบันนี้

 

3.

แต่ละคนเขามีความสามารถแตกต่างกัน” นพ.อภิสิทธิ์เสริมต่อถึงเทคนิคการคัดพนักงานพิการรุ่นบุกเบิก ในมาตรา 35 โดยได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัทและองค์กรเอกชนจ้างงานผู้พิการ 10 คน

“รุ่นแรกๆ เราให้เขามาทดลองงานดูก่อน ว่าใครจะทำได้ไหม ทำอะไรได้บ้าง แต่สิ่งสำคัญที่เราย้ำกับเขาทุกคน คือต้องเป็นตัวอย่างด้านความขยัน ประหยัด จิตอาสา ช่วยเหลือชาวบ้าน ไม่หน้าตาบูดบึ้ง เพราะเขาคือต้นแบบความหวังของคนพิการอีกพันคนที่จะได้รับโอกาสนี้ ถ้าเขาประพฤติตัวไม่ดี คนอื่นก็อาจจะพลอยเสียโอกาสนี้ไปด้วย”

นพ.อภิสิทธิ์เอ่ยต่อว่าบุคลากรมาช่วยดูแลผู้ป่วย และทำงานธุรการอื่นๆ ซึ่งถือว่าโรงพยาบาลประหยัดได้จำนวนมาก ขณะที่อีกด้าน โรงพยาบาลยังวางแผนเพิ่มความยั่งยืนในการจ้างงาน ด้วยการสร้างผลผลิตทางการเกษตรจากน้ำพักน้ำแรงคนพิการในชุมชน โดยโรงพยาบาลยังเปิดพื้นที่ทำแปลงเกษตรอินทรีย์ประมาณไร่หนึ่ง และทางโรงพยาบาลจะรับซื้อผลผลิตดังกล่าวมาเป็นวัตถุดิบประกอบอาหารในโรงพยาบาล อีกส่วนหนึ่งนำไปวางจำหน่ายขาย

“ฤดูไหนเขาปลูกอะไรก็ปรับเมนูเอา เรารับซื้อราคาตลาด ข้อดีคือไม่ใส่สารเคมี สอง เขาก็ได้รับการสนับสนุนห้างร้าน รายได้เราก็นำมาจัดตั้งสวัสดิการ หรือทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือคนพิการ และเป็นทุนสร้างบุคลากรให้กับโรงพยาบาล”

นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลยังเปิดพื้นที่ผ่านเวทีเสริมศักยภาพและความเป็นแกนนำให้กับผู้พิการในชุมชน

“งบประมาณจากรัฐที่ได้มา 1,000 บาท แทนที่จะไปให้เงินเปล่า เราสนับสนุนให้เขาเอาของที่ทำมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านการประชุม ก็ได้พบว่าพอเขาเข้าเวทีเขาก็จะเก่งขึ้น  ทุกคนมีโอกาสมาพูดคุย นำสิ่งหรือของที่ตัวเองทำ มาบรรยาเล่าให้ฟัง และเปิดให้สมาชิกลองชิม เพื่อนำข้อเสนอแนะกลับมาปรับปรุงสินค้าให้มีคุณภาพดีขึ้น”

จากเจตนารมณ์ให้คนพิการได้มีโอกาสใช้ความสามารถในการมีรายได้และพึ่งพาตนเอง ลดภาระของครอบครัวและสังคม ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะมองว่าการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้พิการนั้น ผลประโยชน์ไม่ได้ตกแค่คนพิการอย่างเดียว แต่ผู้ดูแล ชุมชน ครอบครัว ก็จะได้รับประโยชน์ด้วย

“อย่างไรก็ดี การปลูกฝังรากฐานชีวิตที่มั่นคง ไม่ได้ทำแค่เรื่องสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ แต่ยังมีเรื่องการศึกษา เสริมอาชีพที่หนุนเสริมให้เรื่องนี้สามารถเดินต่อไปได้อย่างยั่งยืน เพราะเป้าหมายวันข้างหน้าของ สสส. คือการส่งเสริมให้คนพิการอย่างน้อยครึ่งหนึ่งมีสุขภาวะที่ดีขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการได้รับการจ้างงาน” ภรณีเอ่ยทิ้งท้าย

  พิการกาย แต่ “ใจ” ไม่ภาระ

พิการกาย แต่ “ใจ” ไม่ภาระ

พิการกาย แต่ “ใจ” ไม่ภาระ

พิการกาย แต่ “ใจ” ไม่ภาระ

พิการกาย แต่ “ใจ” ไม่ภาระ