ครอบครัวไทยนับแสนสุ่มเสี่ยงปัญหา ขาดความรัก ความรับผิดชอบ

ครอบครัวไทยนับแสนสุ่มเสี่ยงปัญหา ขาดความรัก ความรับผิดชอบ หนุนวางระบบร่วมดูแลทั้งในระดับชุมชน ระดับจังหวัดเพื่อขยายเป็นครอบครัวอบอุ่นทั่วประเทศ
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และ นายกสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กลไกสำคัญของโครงการนี้ คือ ศูนย์พัฒนาครอบครัวในพื้นที่ต่างๆ เพราะตลอด 2 ปีมานี้ สมาคมฯ ได้ทดลองนำเครื่องมือต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นมาปรับใช้กับศูนย์พัฒนาครอบครัวจำนวน 11 จังหวัด อย่าง การสร้างบุคลากรเพื่อทำหน้าที่นักพัฒนาครอบครัวในระดับพื้นที่ และการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์ครอบครัวในสังคมไทย เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น กรณีคุณแม่วัยใส กรณีครอบครัวที่มีบุตรพิการ หรือกรณีที่ครอบครัวแยกกันอยู่ ด้วยการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ภายใต้แนวคิดหลักคิด 3 ประการ คือ ครอบครัวมีสัมพันธภาพดีขึ้น ครอบครัวพึ่งพาตนเองได้ และครอบครัวสามารถทำหน้าที่ในการดูแลสมาชิกในครอบครัวตามช่วงวัยได้อย่างเหมาะสมทำให้สมาคมฯ สามารถขับเคลื่อนแนวคิดนี้สู่ศูนย์พัฒนาครอบครัวได้กว่า 100 แห่ง ครอบครัวประชากรกว่า 3,000 ครัวเรือนเลยทีเดียว
จากผลการศึกษาพบว่า 60 % เป็นครอบครัวอบอุ่น 39 % เป็นครอบครัวที่อบอุ่นในระดับปานกลาง และ 1% เป็นครอบครัวที่ยังประสบปัญหา 1 เปอร์เซ็นต์นี้ ถ้าเทียบกับจำนวนครัวเรือนทั่วประเทศนับล้าน ก็สะท้อนว่าขณะนี้มีครอบครัวที่อยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงมากถึงแสนครัวเรือนเลยทีเดียว แน่นอนนี่ถือเป็นโจทย์สำคัญที่ท้าทายสังคมไทยต้องให้ความใส่ใจ และหามาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนานวัตกรรมการขับเคลื่อนงานครอบครัวอบอุ่นในระดับพื้นที่ เพื่อลดสัดส่วนครอบครัวที่ไม่อบอุ่นให้อยู่ใกล้ศูนย์มากที่สุด รวมไปถึงผลักดันแนวคิดไปสู่นโยบายระดับชาติด้วยแต่กว่าที่แนวคิดนี้จะเป็นรูปเป็นร่างเช่นนี้ ต้องอาศัยกระบวนการต่างๆ มากมาย ทั้งการลงพื้นที่ ค้นคว้าข้อมูล ตลอดการศึกษางานวิจัยต่างๆ ซึ่งสมาคมฯ เคยดำเนินการ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเป็นต้นแบบให้ครอบครัวต่างๆ สามารถนำไปประยุกต์ได้
ทว่าถึงบุคลากรจะเป็นปัจจัยของความสำเร็จ แต่การสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะนั่นหมายถึงงบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมไปถึงการรวมพลังขององคาพยพต่างๆ ในสังคม เพราะประเด็นครอบครัวอบอุ่นนั้นไม่ใช่เรื่องของใครคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันรับผิดชอบ
สอดรับกับแนวคิดของผู้สนับสนุนโครงการหลักอย่าง สสส. โดย สุวรรณี คำมั่น ประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่ 4 สสส. ย้ำว่า เรื่องสุขภาพกับครอบครัวเป็นมิติที่เชื่อมโยงกัน และการมีต้นแบบและองค์ความรู้ที่ดีถือเป็นความจำเป็นที่สังคมต้องร่วมกันพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสังคมไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น
“ที่ผ่านมา เรามีเครื่องมือในการประเมิน แต่ก็ยังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เราจึงเริ่มทำงานร่วมกับสมาคมฯ เพื่อพัฒนาตัวชี้วัดที่เหมาะสม และหาแนวทางที่จะทำให้ครอบครัวรู้จักพึ่งพาตนเอง สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และสร้างเครือข่ายโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ”
อย่างไรก็ดี การสร้างต้นแบบที่มีประสิทธิภาพ สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนเป็นลำดับแรกคือ อะไรที่เป็นจุดอ่อนซึ่งต้องได้รับการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน ซึ่ง รศ.อภิญญา เวชยชัย กรรมการสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันครอบครัวไทยมีลักษณะพึ่งพาตนเองมาก และอาศัยกำลังของชุมชนที่อยู่แวดล้อมมาหนุนเสริม ทว่าสิ่งนี้นำความเปลี่ยนแปลงมาเฉพาะระดับพื้นที่เท่านั้น การที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง ต้องอาศัยนโยบายส่วนกลางเป็นสำคัญ คำถามคือที่ผ่านมาภาครัฐอาจจะเป็นการนำเสนอแนวคิดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็จำกัดอยู่ในตัวกระดาษ แต่การปฏิบัติจริงยังไม่เห็นเท่าที่ควร
การทำให้ครอบครัวไม่อบอุ่นเหลือใกล้ศูนย์ สมาคมฯ จะต้องออกแบบมาตรการที่สอดรับกับสภาพสังคมที่เป็นจริง เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถรับช่วงและนำไปผลักดันได้อย่างแท้จริง ที่สำคัญคือต้องปรับทัศนคติใหม่สังคม ไม่ใช่มองเพียงแค่ปัญหาอย่างเดียว แต่ต้องหาทางพัฒนาเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกในสังคมช่วยกันหาทางนำความอบอุ่นคืนสู่สังคม
ด้วยกระบวนการที่เริ่มต้นจากความเข้าใจ และสร้างความตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘ครอบครัว’ ทำให้หลายพื้นที่สามารถเอาชนะปัญหาได้อย่างยั่งยืน อย่างในพื้นที่จังหวัดตรัง สิริรส กิ้มเฉี้ยง ผู้อำนวยการกองสวัสดิการ องค์การบริหารส่วนตำบลบางรัก กล่าวยืนยันว่า หลักคิดเรื่องครอบครัว 3 ประการที่สมามฯ ผลักดันนั้นได้ผลจริง เพราะแต่ก่อนที่นี้มีปัญหาเรื่องการสื่อสารค่อนข้างมาก ด้วยวัฒนธรรมที่คนใต้มากพูดเสียงดัง หลายครั้งคำพูดที่สื่อสารไปจึงถูกตีความผิดพลาด แต่เมื่อมีชุดความคิดก็สามารถออกแบบเครื่องมือและชุดกิจกรรมที่เหมาะสม ทำให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลายไป หลายเรื่องที่ไม่เคยถูกพูดในวงสาธารณะมาก่อน เช่นเรื่องเพศก็ถูกหยิบยกมาพูดด้วยความเข้าใจได้มากที่ขึ้น ที่สำคัญเครื่องมือนี้ยังถูกนำไปต่อยอดเพื่อสานเครือข่ายต่างๆ ในตำบลอีกด้วย
ไม่แค่ตรังเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ ในศูนย์พัฒนาครอบครัวอีกหลายแห่งที่สมาคมฯ เข้าไปช่วยสร้างความคิดก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ยืนยันได้นวัตกรรมมากมายไม่ต่ำกว่า 33 เรื่องที่นำเสนอตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตัวแทนของผู้ปฏิบัติงานอย่าง ผอ.พะเอิญ คุ้มวงศ์ คณะทำงานหน่วยสร้างการเรียนรู้ครอบครัวศึกษา จังหวัดสุรินทร์ ถึงกลับยืนยันว่า หากนวัตกรรมทั้งหมดนี้ถูกต่อยอดไปทั่วประเทศได้ สังคมไทยก็คงมีแต่ความสุขและความอบอุ่นแน่นอน
แน่นอนหลายคนอาจจะคิดว่า เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเสียเลย หากชุมชนมีความเข้มแข็ง ภาคีต่างๆ ในพื้นที่ทำงานเชื่อมโยงกัน และมีการจัดองค์ความรู้อย่างเหมาะสม การพัฒนาก็ย่อมไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน ดังที่ ผอ.พะเอิญยกตัวอย่างการนำหลัก ‘บวร’ มาปรับใช้ โดยบ้าน วัด และโรงเรียนจะต้องผนึกกำลังกัน เป็นโรงเรียนครอบครัวศึกษา ขณะที่ภาคส่วนอื่นๆ เช่น องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ฯลฯ จะช่วยสนับสนุนในเรื่องงบประมาณและองค์ความรู้เพื่อต่อยอดและสร้างความเข้าใจเรื่องครอบครัวอบอุ่นให้เกิดขึ้นในหัวใจของเด็กและเยาวชน พร้อมกันนั้นควรมีการขยายผลศูนย์พัฒนาครอบครัวให้ลงลึกถึงระดับหมู่บ้าน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างรูปธรรมและยั่งยืน
จากชุดความคิดและนวัตกรรมมากมายที่สมาคมฯ ได้ผลักดันขึ้น แน่นอนว่าอาจจะไม่สามารถสร้างครอบครัวอบอุ่นให้เกิดขึ้นได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ถือเป็นก้าวย่างที่ดี เพราะนี่คือการจุดประกายให้สังคมได้ตระหนักว่า ครอบครัวที่ดีก็คือพื้นฐานของประเทศชาติที่ดี และเมื่อประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 หากไม่สร้างความมั่นคงในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้สำเร็จเสียก่อน โอกาสที่จะปฏิรูปสังคมในเรื่องใหญ่ๆ ก็คงเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม







