เรียนรู้ เรื่อง “งูสวัด”

โรคงูสวัดและสุกใสเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันที่ชื่อ "เชื้อวีแซดวี เชื้อจะหลบซ่อนอยู่ปมประสาทในร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น เกิดผื่น เป็นตุ่มน้ำ
ช่วงฤดูฝนนี้มีแต่ข่าวเรื่องของงูเลื้อยเข้าบ้านไม่ว่าจะเป็นงูเขียว งูเห่า งูหลามหรืองูเหลือม ก็ล้วนน่ากลัวทั้งสิ้น เลยทำให้นึกถึงโรคที่คนไทย เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าเมื่อเป็นแล้ว ผื่นพันรอบตัว ผู้ป่วยก็จะตาย คือ "งูสวัด" ซึ่งไม่เป็นความจริงนะครับ โรคนี้เกิดจาก เชื้อไวรัสตัวเดียวกับสุกใส ซึ่งเมื่อเป็นตอนเด็กๆ เชื้อจะหลบอยู่ในตัวเราไปตลอดชีวิต พออายุเรามากขึ้น ภูมิต้านทานที่เรามีต่อเชื้อตัวนี้ลดลง เชื้อก็จะออกมาสักครั้งหนึ่ง ด้วยความที่เชื้อมันออกมาทางเส้นประสาท อาการสำคัญจึงเป็นอาการปวดแสบปวดร้อน และขึ้นทางขวา ก็จะอยู่ข้างขวา .... หากขึ้นทางซ้าย ผื่นก็อยู่แค่ข้างซ้าย ....ชื่อเป็นงู แต่ไม่พันรอบตัวเด็ดขาดนะครับ
“โรคงูสวัดและสุกใส เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันที่ชื่อ "เชื้อวีแซดวี (varicella-zoster virus)" ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ครั้งแรก (ซึ่งมักเกิดขึ้นในวัยเด็ก) ส่วนใหญ่จะแสดงอาการของโรคสุกใสหลังจากหายจากโรคสุกใสไปแล้ว เชื้อจะหลบซ่อนอยู่บริเวณปมประสาทในร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสุกใสลดลง เชื้อที่แฝงตัวอยู่นี้จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและกระจายออกมาทางผิวหนัง ทำให้เกิดผื่น เป็นตุ่มน้ำ ขึ้นเป็นกระจุก และมีปลายประสาทอักเสบ”
วิธีการสังเกตอาการของโรคงูสวัด มีดังนี้
ก่อนมีผื่นขึ้นประมาณ 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหน่วงๆ ปวดแปล๊บๆ คัน หรือเจ็บ ด้านหนึ่งด้านใดของร่างกาย บริเวณเส้นประสาทที่กำลังจะเป็นเป็นงูสวัด ช่วงนี้เป็นช่วงที่วินิจฉัยยาก เพราะหากพบบริเวณแขนหรือขา เพียงข้างเดียว อาจทำให้คิดว่าเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อ ถ้าปวด ที่ชายโครง ก็อาจทำให้คิดว่าเป็นโรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร ถุงน้ำดีอักเสบ นิ่วในไต ไส้ติ่งอักเสบ ถ้าปวดที่ใบหน้าข้างเดียว อาจทำให้คิดว่าเป็นไมเกรน หรือโรคทางสมองได้ ช่วงต่อมาเมื่อเชื้อออกมาถึงผิวหนัง จะมีผื่นขึ้นตรงบริเวณที่ปวดเป็นตุ่มใสเป็นกระจุก ตามแนวผิวหนังที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทที่เชื้อออกมา เมื่อตุ่มน้ำแห้ง และตกสะเก็ด หลุดออกไป อาการปวดจะทุเลาลง ส่วนผู้สูงอายุ อาจมีอาการปวดตามมานานหลายเดือนกว่าจะหายเป็นปกติโรคนี้มักไม่มีอันตรายร้ายแรงและหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่บางรายหลังแผลหายแล้วอาจมีอาการปวดประสาทนานเป็นแรมปี หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้ และจากความเชื่อที่ว่า เป็นรอบเอวแล้วตายนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่เสียชีวิตอาจเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทานโรค การรู้จักรักษาร่างกายให้แข็งแรง เสริมภูมิต้านทานโรคให้สมบูรณ์อยู่เสมอ จึงมีความสำคัญในการป้องกันโรคและระงับความรุนแรงของโรคได้
ส่วนการรักษาแพทย์จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาบรรเทาอาการปวดหรือไข้ ถ้าตุ่มกลายเป็นหนองเฟะเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ก็จะให้ยาปฏิชีวนะสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรืองูสวัดขึ้นที่บริเวณหน้า หรือมีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่แรกที่มีผื่นขึ้น แพทย์จะให้กินยาต้านไวรัส ภายใน 48-72 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ จึงจะได้ผลในการลดความรุนแรง และย่นเวลาให้หายเร็วขึ้น รวมทั้งอาจลดอาการปวดเส้นประสาทแทรกซ้อนในภายหลังได้ ส่วนผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ หรือเป็นชนิดแพร่กระจายทั้งตัว แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ที่สำคัญคือผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดขึ้นที่ตา หน้าผาก หรือ ปลายจมูกควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ ซึ่งจะให้กินยาต้านไวรัส และยาหยอดตาที่มียาต้านไวรัส เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยคือ อาการปวดประสาทหลังเป็นงูสวัด (post herpetic neuralgia) โดยเฉลี่ยพบได้ประมาณร้อยละ 10-15 ของผู้ป่วยงูสวัด พบได้ประมาณร้อยละ 50 ที่ผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป และมากกว่าร้อยละ 70 ในผู้ป่วยอายุ 70 ปีขึ้นไป ยิ่งอายุมากยิ่งเป็นรุนแรงและนาน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่แรก หรือเกิดขึ้นภายหลังผื่นหายหมดแล้วก็ได้ มีลักษณะปวด ลึกๆ แบบปวดแสบปวดร้อนตลอดเวลา หรือปวดแบบแปล๊บๆ เสียวๆ (คล้ายถูกไฟช็อต) เป็นพักๆ ก็ได้ มักปวดเวลาถูกสัมผัสเพียงเบาๆ ปวดมากตอนกลางคืนหรือเวลาอากาศเปลี่ยนแปลง บางครั้งอาจรุนแรงมากจนทนไม่ได้ อาการปวดมักหายได้เอง (ร้อยละ 50 หายเองภายใน 3 เดือน และร้อยละ 75 จะหายเองภายใน 1 ปี) แต่ในบางรายอาจปวดนานเป็นแรมปี ...... ปัจจุบัน มีวัคซีนป้องกันงูสวัดได้แล้ว
ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
สอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
ธนศักย์ อุทิศชลานนท์ (โป้ง)
บริษัท คอร์แอนด์ พีค จำกัด
โทรศัพท์ 02-439-4600 ต่อ 8301หรือ 081-421-5249
อีเมล์ : [email protected]







