ซิมโฟนี่ เซ็น MCT Project ร่วมผู้นำจากกัมพูชา มาเลเซีย

ประกาศความร่วมมือในโครงการวางเครือข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำระดับภูมิภาคอาเซียน MCT Submarine Cable
3 บริษัทผู้นำทางด้านโทรคมนาคมจาก 3 ประเทศ กัมพูชาโดยบริษัท Telcotech Co.,Ltd (ภาครัฐ), มาเลเซียโดยบริษัท Telekom MalaysiaBerhad (TM) (ภาครัฐวิสาหกิจ) และบริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่นจำกัด (มหาชน) บริษัทเอกชนรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตดำเนินโครงการวางโครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วใต้น้ำได้จัดพิธีลงนามในสัญญาประกาศความร่วมมือทางธุรกิจในการลงทุนร่วมกันในโครงการก่อสร้างและวางโครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วใต้น้ำระหว่างประเทศ (MCTSubmarine Cable System) เพื่อผลักดันให้เกิดการเชื่อมต่อและเข้าถึงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นให้เกิดการขยายตัวในด้านการสื่อสาร การค้าและการลงทุน การพัฒนาเศรษฐกิจ และสร้างคุณประโยชน์ให้เกิดขึ้นในระดับภูมิภาคโดยงานจัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
ภายในงาน ตัวแทนทั้ง 3 ฝ่ายได้แก่ นายธีรรัตน์ ปัณฑรสูตรกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน), Mr.Paul Blanche-Horganประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Telcotech, และ Mr.Rozaimy Rahman, Executive Vice President, Global & Wholesale, บริษัท Telekom MalaysiaBerhad (TM) ได้เป็นผู้ลงนามในสัญญาดังกล่าว โดยมีสักขีพยานร่วมงาน อาทิ พณฯ ท่าน Prak Sokhon,the Minister of Post and Telecommunication แห่งประเทศกัมพูชา และ Mr.Datuk Bazlan Osman, Group Chief Financial Officer จาก Telekom Malaysiaรวมถึงนายวุฒิพงษ์ โมฬีชาติ ประธานกรรมการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และแขกจากรัฐบาลกัมพูชารวมถึงแขกผู้มีเกียรติอีกมากมาย ซึ่งในส่วนของเนื้อหาสำคัญนั้น MCT Project คือ
โครงการ Submarine Cable Network หรือโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำที่เกิดจากความร่วมมือทางธุรกิจของ 3 บริษัทผู้นำทางด้านโทรคมนาคมจาก 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย (M) ประเทศกัมพูชา (C) และประเทศไทย (T) ในการลงทุนสร้างโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำ ซึ่งมีระยะทางกว่า 1,300 กิโลเมตรในน่านน้ำของทั้ง 3 ประเทศ และมีการสร้างจุดขึ้นฝั่งที่สถานีภาคพื้นดิน (Landing Station) ในแต่ละประเทศเพื่อเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างกัน สำหรับประเทศไทยนั้น มีสถานีภาคพื้นดิน ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง โดยมีการวางสายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำลงไปในอ่าวไทยเป็นระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร แล้วแยกเส้นทางไปเชื่อมกับจุดขึ้นฝั่งสถานีภาคพื้นดิน ที่สีหนุวิลล์หรือชื่อเดิมคือ กำปงโสม ประเทศกัมพูชา อีกเส้นทางไปทางใต้ไปเชื่อมกับจุดขึ้นฝั่งหรือ Landing Station ที่เชอราติ้ง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย
ธีรรัตน์ ปัณฑรสูตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการร่วมมือกันของ 3 พันธมิตรใหญ่แห่งวงการสื่อสารโทรคมนาคมว่า “การเซ็นสัญญาร่วมกัน 3 ประเทศในโครงการวางสายเคเบิลใต้น้ำ ระยะทางประมาณ 1,300 กิโลเมตรทางทะเลและทางบกเชื่อมต่อ 3 ประเทศระหว่างไทย กัมพูชา และ มาเลเซีย ครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จร่วมกัน ที่เราจะยกระดับการสื่อสารและธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งด้วยประสิทธิภาพการดำเนินงาน ประสบการณ์ในระดับมืออาชีพ และใช้เทคโนโลยีระดับโลกที่ได้รับความเชื่อมั่นจากนานาประเทศนำมาพัฒนาและสร้างสรรค์ขึ้นเป็นโครงการดังกล่าวนี้ จะเอื้อประโยชน์ไม่เฉพาะเพียงแค่เรา 3 พันธมิตรเท่านั้น แต่จะส่งผลให้เกิดการเติบโตในทุกภาคส่วนต่อภูมิภาคนี้อย่างมหาศาล เพราะเป้าหมายสำคัญของเราคือเพื่อรองรับการขยายตัวด้านการสื่อสารในโลกยุคดิจิทัลที่นับวันมีแต่จะเติบโตเพิ่มมากขึ้นทั้งในกลุ่มประเทศอินโดจีนไปจนถึงทวีปอื่นๆ และเราต้องการเตรียมความพร้อมให้มากที่สุดสำหรับการก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน หรือ AEC ที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ รวมทั้งคาดหวังให้บริเวณนี้เป็นศูนย์กลางทางการเชื่อมต่อโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมในอาเซียน และระดับโลก ซึ่งแน่นอนว่าการวางโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำ MCT ครั้งนี้ จะเป็นสัญญาณเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในการเชื่อมภูมิภาคอาเซียนด้วยกันเองและโลกนี้เข้าไว้ด้วยกัน”
“สำหรับประเทศไทยนั้น บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับความไว้วางใจในระดับนานาชาติ เพราะนอกจากเราจะเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายเคเบิลบนดินที่ดูแลคู่ค้ามากมายในประเทศไทยแล้ว เรายังเป็นบริษัทเอกชนแห่งแรกที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ในการสร้างและดำเนินการวางโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำของประเทศไทยอีกด้วย เราจึงมั่นใจในศักยภาพที่มี ในการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไปจนถึงช่วงปลายปี 2559 ที่การก่อสร้างทุกอย่างจะแล้วเสร็จให้ได้ใช้บริการกัน นอกจากนี้ เรากำลังดำเนินการสร้างสถานีเคเบิลบนบก (Cable Landing Station) ที่จะเป็นจุดขึ้นพักสายเคเบิลบนดินเพื่อเชื่อมต่อกับเคเบิลใต้น้ำ ภายใต้ชื่อ “โมฬี เคเบิ้ล แลนดิ้ง สเตชั่น” (Molee Cable Landing Station) บริเวณจังหวัดระยอง คาดว่าน่าจะเปิดตัวโครงการในเดือนตุลาคม 2558 นี้อีกด้วย ฉะนั้นในด้านของผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นร่วมกันในวงกว้าง มูลค่าการลงทุนกว่า 700 ล้านบาททั้งโครงการใต้น้ำและบนบกครั้งนี้ คิดว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสมเหตุสมผลสำหรับการรองรับการดำเนินงานก่อสร้างและติดตั้งทั้งระบบแบบครบวงจรดังกล่าว”
นอกจากนั้น โครงการนี้ ใช้เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้รองรับการเชื่อมต่อทั้งรับและส่งข้อมูลได้สูงถึง 100 Gbps ต่อช่องสัญญาณและรองรับการขยายตัวได้มากถึง 30 Tbps จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสำหรับธุรกิจโทรคมนาคมในภูมิภาค ให้ผู้ใช้บริการในทุกระดับได้สัมผัสประสบการณ์บริการบรอดแบรนด์และใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น







