"อาฟเตอร์เอฟเฟ็กต์"ค่ายสีฟ้า "วิกฤติซ้อนวิกฤติ"ศึกเมืองหลวง

"อาฟเตอร์เอฟเฟ็กต์"ค่ายสีฟ้า  "วิกฤติซ้อนวิกฤติ"ศึกเมืองหลวง

“วิกฤติซ้อนวิกฤติ” ภายใน "ค่ายสีฟ้า" ยามนี้สั่นสะเทือนไปยังศึกเลือกตั้ง "2สนามเมืองหลวง" ที่จะรู้ผลในอีก1เดือนข้างหน้า จากเดิมที่ลุ้นหนักพอตัวอยู่แล้ว ยิ่งเจอประเด็นร้อนแรงล่าสุดเข้าไป ยิ่งลุ้นหนักมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ

เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเศษเราจะได้รู้กันว่า ที่สุดแล้ว “2สนามเลือกตั้งเมืองหลวง” ทั้งศึกชิงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(ผู้ว่ากทม.) และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(ส.ก.) จะมีผู้สมัครคนใด พรรคการเมืองใด หรือกลุ่มการเมืองใดคว้าชัยในศึกครั้งนี้บ้าง 

ในส่วนของ “สนามพ่อเมือง” อย่างที่รู้กันว่า การเลือกตั้งหนนี้ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ9ปี หลังจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่3 มี.ค.2556 

ไม่ต่างจากการเลือกตั้งส.ก. ครั้งแรกในรอบ10 ปีหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 30 ส.ค.2553 

ทว่า ในห้วงที่บรรดาพรรคการเมืองกลุ่มการเมืองต่างเร่งเครื่องทำคะแนนในช่วงโค้งสุดท้ายอยู่นี้เอง

เป็นจังหวะเดียวกับที่ “ค่ายสีฟ้า” พรรคประชาธิปัตย์ ยามนี้กลับกำลังเผชิญ“วิกฤติหนัก”จากคดีฉาวที่เกิดขึ้นกับ "ปริญญ์ พานิชภักดิ์" อดีตรองหัวหน้าพรรค อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย ซ้ำยังอดีตผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งผู้ว่ากทม.และส.ก.ของพรรค 

แม้ก่อนหน้าเจ้าตัวจะประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งภายในพรรค หรือบรรดา“บิ๊กเนม” รวมถึงสมาชิกพรรคจะย้ำนักย้ำหนาว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรค 

เอาเข้าจริงประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นหนีไม่พ้นที่จะลามเป็น "อาฟเตอร์เอฟเฟกต์" ที่พุ่งตรงไปยังค่ายสีฟ้าอย่างหลึกเลี่ยงไม่ได้ 

ยังไม่นับรวมแรงสั่นสะเทือนภายใน“ค่ายสีฟ้า” ที่ล่าสุดเกิดปรากฎการณ์ “แชทหลุด” ทวงถามถึงท่าทีรวมถึงความรับผิดชอบ “บิ๊กเนมพรรค” ต่อกรณีที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะตัวผู้นำพรรค “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นผู้เสนอชื่อปริญญ์เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคทีมเศรษฐกิจทันสมัย ท่ามกลางเสียงคัดค้านจาก แกนนำและสมาชิกพรรคเวลานั้น โดยเฉพาะ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรค

โดยเฉพาะข้อความจาก “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย”  ที่ทวงถามหาความรับผิดชอบแบบไม่มีกั๊กว่า“ขออนุญาตนะครับ เรื่องที่เป็นข่าวฉาวในขณะนี้ กระทบคนที่ทำที่พื้นที่อย่างหนัก ผมเชื่อว่าผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. และ ส.ก. จะยิ่งหนักกว่า 

หนักที่สุดคือชื่อเสียงของพรรคเรา ที่อีกไม่กี่เดือนจะมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ผมขอให้ผู้บริหารมีท่าทีที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้ ที่จะสร้างความมั่นใจกับสังคมว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่เพิกเฉย ดูดาย หรือเกียร์ว่างกับเรื่องที่เกิดขึ้นครับ ขออนุญาตที่ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา” 

นับเป็นการตอกย้ำสถานการณ์ภายใน “ค่ายสีฟ้า” ที่ยามนี้ถือว่าอยู่ในขั้น“วิกฤติซ้อนวิกฤติ” 

เพราะหากย้อนกลับไปดูการเลือกตั้งส.ก. ครั้งล่าสุด เมื่อ 30 ส.ค.2553 ครั้งนั้นกทม.จำนวน ส.ก. 61 คน ปชป.ครองที่นั่ง45 คน ส่วนที่เหลือเป็นของพรรคเพื่อไทยไทย 15 คน และผู้สมัครอิสระ 1 คน

ทว่าในการเลือกตั้งส.ส.ปี 2562 เวลานั้นมีอดีตส.ก.ของปชป.นับสิบคน ย้ายไปลงสมัครส.ส.กทม.สังกัดพลังประชารัฐ และภูมิใจไทย

นำมาสู่จุดพลิกผันครั้งใหญ่ของค่ายปชป.ที่“สูญพันธ์” ในสนามกทม. ไม่มีที่นั่งส.สแม้แต่คนเดียว 

และเมื่อเช็คคะแนน“ป๊อปปูล่าโหวต” ในศึกเลือกตั้งปี62 พบว่าอันดับ 1 คือพรรคฝ่ายซ้ายอย่างพรรคอนาคตใหม่ ได้ 804,272 คะแนน ,อันดับ 2 พรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นพรรคที่ชิงฐานคะแนนปชป. ได้ 791,893 คะแนน ,อันดับ 3พรรคเพื่อไทย ได้ 604,699 คะแนน

ส่วนปชป.ร่วงมาอยู่ลำดับที่4ด้วยคะแนนเพียง 474,820 คะแนน หายไปจากเลือกตั้งเมื่อปี2554 ที่ได้1.2 ล้านคะแนนกว่า7แสนคะแนน 

เดิมทีปชป.ยังมีความหวังอยู่ลึกๆว่า ด้วยคะแนนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกหรือ “นิวโหวตเตอร์” ที่มีอยู่ราว6-7ล้านคะแนน

บวกแต้มจากบรรดาแม่ยกปชป.และกองเชียร์ฝ่ายขวา ที่เทใจไปให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคพลังประชารัฐในศึกเลือกตั้งสนามใหญ่เมื่อปี2562 จะเทกลับมาที่ค่ายสีฟ้าเพื่อหนุน “ดร.เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่ากทม. และทีมส.ก.ค่ายสีฟ้า

แต่เมื่อสถานการณ์ "กลับตาลปัตร" เช่นนี้ แม้บรรดาแกนนำรวมถึงส.ส.พรรคจะพยายามขอความเห็นใจ "อย่าเหมารวมปมฉาวที่เกิดขึ้นกับพรรค" 

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากรณีที่เกิดขึ้นลามเป็น “วิกฤติซ้อนวิกฤติ” ที่ทำให้ค่ายสีฟ้าต้องลุ้นหนักมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ!!