ผ่า”ทีมอุ๊งอิ๊ง” รีเซ็ตเพื่อไทย ใช้บริการกลุ่ม “เพื่อนสนิท”

ผ่า”ทีมอุ๊งอิ๊ง” รีเซ็ตเพื่อไทย ใช้บริการกลุ่ม “เพื่อนสนิท”

"ทีมอุ๊งอิ๊ง"นำโดย “คณาพจน์ โจมฤทธิ์” เพื่อนสนิท ซึ่งเคยเสนอผู้ใหญ่ในพรรค อย่ายึดติดกับความสำเร็จเดิม 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน คือคะแนนที่มีอยู่ในมือ แต่ต้องปรับให้เข้ากับความต้องการของคนรุ่นใหม่ด้วย

“ม้ารุ่น 4” ที่ชื่อ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย สืบสายเลือดโดยตรงของ “ม้ารุ่น 1” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมี “สมชาย วงสวัสดิ์” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นม้ารุ่น 2 และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นม้ารุ่น 3

“ทักษิณ” ผุดแคมเปญ “ครอบครัวเพื่อไทย : บ้านหลังใหญ่ หัวใจเดิม” ส่งไม้ต่อให้ “แพทองธาร” หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นับหนึ่งปฏิบัติการ “14 ล้านเสียง” ปูทางเข้าสู่อำนาจ จัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จอีกครั้ง

โฟกัสเจาะพื้นที่ภาคอีสาน-ภาคเหนือโกย ส.ส. เข้าสภาให้ได้มากที่สุด วางเป้าให้ได้ ส.ส. อย่างน้อย 253 เสียง เพื่อให้ได้ ส.ส. เกินกึ่งหนึ่ง เพราะแม้ “ขั้วประยุทธ์” จะมี 250 ส.ว. โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอีกก๊อก แต่หากจำนวน ส.ส. ของขั้วประยุทธ์มีน้อย การบริหารราชการจะติดเดดล็อคทันที

“ทักษิณ” ที่มีความหวังทางการเมือง และหวังจะกลับบ้าน มากกว่าการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 จึงเลือกทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ด้วยการเลือกเลือดแท้ “ชินวัตร” เข้ามาโกยแต้มให้พรรคเพื่อไทย

การเข้ามาของ “แพทองธาร” แม้ภายนอกพรรค จะมีภาพสมัครสมานสามัคคี แต่การบริหารพรรคภายในเริ่มมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะตัวของ “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่แทบจะดูตัวเล็กกว่า “แพทองธาร” ในตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย

เดิม “ชลน่าน” อยู่ภายใต้ร่มเงาของ “นักรบห้องแอร์” ซึ่งแทบจะไม่มีสิทธิ์-ไม่มีเสียง บทบาทในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แทบไม่มีความจำเป็น เนื่องจากไม่สามารถตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ได้ด้วยตัวเอง จะพอมีบทบาทก็ในฐานะ “ผู้นำฝ่ายค้าน” ที่เน้นงานสภาฯเป็นหลัก

รวมไปถึงบทบาทของ ส.ส. เพื่อไทย ที่ถูกคาดการณ์ว่าอาจจะต้องลดบทบาทลง เพื่อหลีกทางให้ “ทีมอุ๊งอิ๊ง” ได้เข้าไปรีเซ็ตพรรคเพื่อไทยมากขึ้น โดยเฉพาะงานด้านนโยบายที่ “ทีมอุ๊งอิ๊ง” จะเข้าปรับนโยบายให้สอดคล้องกับแนวคิดของ “คนรุ่นใหม่” 

ซึ่งไม่ใช่แค่ “ชลน่าน-ส.ส.เพื่อไทย” ที่จะต้องหลบให้ “ทีมอุ๊งอิ๊ง” แม้แต่ “ทีมกลุ่มแคร์” อาทิ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย “หมอเลี้ยบ” สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี “หมอมิ้ง” พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และเครือข่าย พยายามเข้าให้คำปรึกษากับ “ทีมอุ๊งอิ๊ง” แต่ด้วยสไตล์การเมืองเก่าข้อเสนอจึงถูกปัดตก

โดยตัวหลักของ “ทีมอุ๊งอิ๊ง” ไม่ใช่คนอื่นไกล ทุกสายตาจับจ้องไปที่ “คณาพจน์ โจมฤทธิ์” เพื่อนสนิท แถมยังมีสถานะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ “ปิฎก สุขสวัสดิ์” สามีของอุ๊งอิ๊ง

“คณาพจน์” ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เนื่องจากเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ซึ่งโดนคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก่อนการเลือกตั้งปี 2562 ทำให้ “คณาพจน์” ต้องยุติบทบาทไป

"คณาพจน์" เรียนจบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากอังกฤษ แล้วกลับมาทำงานสำนักงานกฎหมาย โดยรับตำแหน่งทางการเมืองครั้งแรก ในฐานะหน้าห้องของ ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ช่วงปี 2561 ก่อนจะได้รับภารกิจมาก่อร่างสร้างพรรคไทยรักษาชาติ ในตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค
 
หลังพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ คณาพจน์ก็หายหน้าไปพักใหญ่ เมื่อพรรคเพื่อไทยมีการปรับโครงสร้างใหม่ กลุ่มแคร์ และพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เข้ามามีบทบาทในพรรคมากขึ้น คณาพจน์ จึงกลับมารับตำแหน่งผู้อำนวยการทีมคิดเพื่อไทย และเป็นผู้อำนวยการโครงการ The Change Maker
 
จังหวะที่กลุ่มแคร์ปั้นทักษิณในนาม Tony Woodsome เพื่อให้อยู่ในใจเด็ก Gen Z Gen Y ก็เปิดโครงการ The Change Maker มีเป้าหมายอยู่ที่คนรุ่นใหม่ ฐานเสียงกลุ่มเดียวกับพรรคก้าวไกล

ผ่า”ทีมอุ๊งอิ๊ง” รีเซ็ตเพื่อไทย ใช้บริการกลุ่ม “เพื่อนสนิท”

ก่อนที่ “คณาพจน์” จะเข้ามามีบทบาทในพรรคเพื่อไทย ก็เมื่อ “อุ๊งอิ๊ง” ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย จากนั้น “คณาพจน์” จึงได้รับการแต่งตั้งให้นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการโครงการ The Change Maker และทีมคิดเพื่อไทย

“คณาพจน์” เคยให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ The Momentum เอาไว้ว่า ต้องมีการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ของพรรค เพื่อล้างภาพของความเป็นพรรคภูธรและ “พรรคทักษิณ” ไปสู่พรรคของทุกคนจริงๆ โดยส่วนแรกของการรีแบรนด์ก็คือเอาคนรุ่นใหม่เข้ามาในพรรคมากขึ้น โดยการเป็นกรรมการบริหาร และสิ่งที่เห็นภาพใหม่ของพรรคเพื่อไทยก็คือการเปิดกว้างสำหรับคนรุ่นใหม่

นอกจากนี้ “คณาพจน์” ยังกล่าวอีกว่า “พรรคต้องกล้ายอมรับความผิดพลาด ต้องกล้าเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ มากกว่าจะยึดติดกับความสำเร็จเดิม พรรคเพื่อไทยอาจเคยสำเร็จกับ 30 บาทรักษาทุกโรค หรืออาจทำให้เห็นว่ากองทุนหมู่บ้าน ใช้งานได้จริง แต่นั่นคือคะแนนในมือที่อยู่ในอดีต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องปรับให้เข้ากับความต้องการของคนรุ่นใหม่”

เมื่อดูจากแนวคิดของ “คณาพจน์” ซึ่งเปรียบเสมือนกล่องความคิดของ “อุ๊งอิ๊ง” ทิศทางการขับเคลื่อนของพรรคเพื่อไทย ภายหลังที่ “ทักษิณ” ตัดสินใจแล้วว่าจะมี “อุ๊งอิ๊ง” เป็นจุดขาย จังหวะก้าวจึงมุ่งเน้นแนวคิดใหม่ๆและคนรุ่นใหม่มากกว่าเดิม

อีกคนที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังของ “อุ๊งอิ๊ง” คือ “เดอะป๋อม” ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองเช่นกัน แต่ “ปรีชาพล” ปรากฏตัวเกือบทุกเวทีของพรรคเพื่อไทย คอยเป็นข้อต่อประสานคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า เพราะ “ปรีชาพล” สนิทมักคุ้นกับ ส.ส.-อดีตส.ส. หลายกลุ่มหลายรุ่น

โดยมีกระแสข่าวว่า “ทักษิณ-ครอบครัวชินวัตร” บินมาพักที่สิงคโปร์ “ปรีชาพล” ปรากฏตัวร่วมวงอยู่ด้วย แม้จะไม่มีภาพมาโชว์เหมือน “ส.ส.หิวแสง” แต่ “ปรีชาพล” ช่วยพูดคุยเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกับ “อุ๊งอิ๊ง”

ทว่าการเข้าไปรีเซ็ตพรรคเพื่อไทย “ทีมอุ๊งอิ๊ง” ยังต้องใช้เวลาอีกมาก การยกเครื่องใหม่ยังต้องรับฟังหลายกลุ่ม-หลายก๊วน โดยเฉพาะตัว ส.ส. ซึ่งแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันอยู่มาก ฉะนั้นไม่ใช่ว่า “ทีมอุ๊งอิ๊ง” จะหักดิบเสียทุกอย่าง แต่จะค่อยๆปรับตัวเข้าหากลุ่ม-ก๊วนภายในพรรค

ทั้งหมดก็เพื่อเป้าหมาย “14 ล้านเสียง” พาพรรคเพื่อไทยกลับมาจัดตั้งรัฐบาล สานฝัน “ทักษิณ” กลับบ้าน